(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

บุคคล

“มาเฟียบู๊ลิ้ม” นิยายกำลังภายในจีนที่ไร้ซึ่งวีรบุรุษ และโลกความจริงที่รันทดหดหู่แห่งศตวรรษที่ 21

โลกนี้ไม่มีวีรบุรุษ มีเพียงผู้ชายธรรมดาที่ดิ้นรนทำกินไปวันๆ

“มาเฟียบู๊ลิ้ม” นับเป็นนวัตกรรมชิ้นหนึ่งในแวดวงนิยายกำลังภายในจีน ที่หาญกล้าแหกกรอบขนบธรรมเนียมสูงส่งแห่งโลกวีรบุรุษ นิยายเรื่องนี้ไม่เชื่อว่าปัญหาทุกอย่างในโลกล้วนคลี่คลายได้ด้วยคุณธรรมและพลังฝีมือล้ำเลิศ มนุษย์คนหนึ่งจะต้องเข้าใจโครงสร้างสังคมที่สลับซับซ้อนด้วย จึงจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ และมีเรี่ยวแรงเหลือพอจะช่วยเหลือจุนเจือผู้อ่อนแอ

หวังเทียนอี้ นับเป็นตัวละครหนึ่งที่น่าสนใจในเรื่องมาเฟียบู๊ลิ้ม เพราะเต็มไปด้วยพัฒนาการและความย้อนแย้ง

ประสบการณ์ชีวิตที่อ่อนด้อยของหวังเทียนอี้และความยึดมั่นในกระบวนท่ากระบี่ที่สวยงามล้ำเลิศของสำนักอาจารย์ ก็เกือบทำให้เขาต้องทิ้งชีวิตไว้เมื่อเผชิญกับอันธพาลข้างถนนที่ไร้วิทยายุทธ์ แต่เต็มไปด้วยความฉับไวและเหี้ยมโหดของโลกความจริง

หลังจากวันนั้น หวังเทียนอี้ก็เริ่มตั้งคำถามกับทฤษฎีและวิชาฝีมือของสำนักอาจารย์ ทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างเชื่องช้าและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง จนกระทั่งถูกลดชั้นไปอยู่ในกลุ่มเด็กเรียนอ่อนที่ไร้อนาคต

หากทว่าความรู้ที่หวังเทียนอี้ได้รับจากการต่อสู้กับอันธพาลข้างถนน กลับช่วยชีวิตของเขาไว้เมื่อต้องออกไปเผชิญกับศัตรูนอกสำนักเป็นครั้งแรก แถมยังทำให้เขาได้รับไมตรีคบหากับลูกหลานของตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นติงอี้จั่น ถังป๋อ และมู่หยิงชิวสุ่ย

โชคชะตาของหวังเทียนอี้เริ่มเข้าสู่ภาวะโชติช่วงเมื่อกลับสู่สำนักอาจารย์อีกครั้ง ชื่อเสียงจากการผจญภัยในยุทธจักรและสายสัมพันธ์กับลูกหลานตระกูลใหญ่ ทำให้หวังเทียนอี้กลายเป็นที่โจษจันและยกย่องของคนทั้งสำนัก อย่างไรก็ตาม บุญคุณความแค้นที่เพาะสร้างไว้ในคราวท่องยุทธจักรก็กลับมาทำร้ายเขาในที่สุด ซึ่งแม้แต่สายสัมพันธ์กับลูกหลานตระกูลใหญ่ก็ช่วยเอาไว้ไม่ได้

หวังเทียนอี้จึงเริ่มตระหนักว่าเขาเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆตัวหนึ่งของสำนักอาจารย์ คุณความดีและความสามารถล้วนไม่มีความหมายใด เมื่อโครงสร้างผลประโยชน์ของสำนักอาจารย์มีความเปลี่ยนแปลง มันก็พร้อมจะเสียสละและทอดทิ้งหวังเทียนอี้ไปได้ทุกเมื่อ

 

ติงอี้จั่น ที่เกิดขึ้นมาท่ามกลางกองเงินกองทองและความยิ่งใหญ่ของวงศ์ตระกูล แรกเริ่มเดิมทีก็ดูเหมือนว่าจะใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเสรี สามารถประกอบคุณธรรมความดีตามที่ใจนึกฝัน หากทว่า โครงสร้างสังคมและผลประโยชน์ของมนุษย์ที่สลับซับซ้อนก็ทำให้ลูกหลานตระกูลใหญ่ที่เย่อหยิ่งถือดีเช่นนี้ ยังมิอาจกระทำสิ่งใดตามชอบใจ

ภารกิจของติงอี้จั่น เพื่อช่วยเหลือชาวเมืองซิ่วโจวที่อดอยากเพราะการเก็บเกี่ยวไม่ได้ผล ถึงแม้จะได้รับข้าวสารบริจาคมากมายจากผู้ใจบุญ แต่การลำเลียงไปส่งให้ถึงที่หมายก็กลับต้องเผชิญอุปสรรคกับพ่อค้าและอันธพาลท้องถิ่นขัดขวางไว้ สุดท้ายเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากสำนักคุนหลุนในการจัดการกับตระกูลหงซึ่งเป็นพ่อค้าข้าวที่กักตุนสินค้า แต่ก็กลับกลายเป็นการเพาะสร้างความแค้นจากลูกหลานที่ถูกฆ่าล้างตระกูล

ที่น่าเศร้ายิ่งกว่าก็คือ หวังเทียนอี้ซึ่งเป็นสหายเก่าและครั้งหนึ่งเคยเป็นคนที่ยึดมั่นในคุณธรรม ก็กลับต้องจำใจสังหารทายาทคนสุดท้ายของตระกูลหง เพื่อที่จะปกป้องติงอี้จั่นไม่ให้ถูกตามล่าล้างแค้นในอนาคต

สุดท้าย ข้าวสารที่อาศัยการต่อสู้มาอย่างลำบากยากเย็น มีคนสังเวยชีวิตไปมากมาย ก็กลับถูกพันธมิตรร่วมอุดมการณ์ของติงอี้จั่น นั่นคือ สำนักคุนหลุน ซึ่งได้นำไปเร่ขายทำกำไรเข้ากระเป๋าเสียมากมาย แม้ควรจะก่นประณามยิ่งนัก แต่ก็แฝงไว้ด้วยความน่าเห็นใจแบบอับจนปัญญา เพราะนี่เป็นค่ายสำนักที่พึ่งฟื้นตัวขึ้นใหม่จากวิกฤตการล่มสลายในอดีต จึงต้องการเงินทองมาจับจ่ายใช้สอยมากเป็นพิเศษ เพื่อจะได้มีเรี่ยวแรงไว้ผดุงคุณธรรมตามอุดมการณ์ของจางเกาฉาน เจ้าสำนักหนุ่มที่เลิศล้ำทั้งความดีงามและพลังฝีมือ

 

นวัตกรรมของนิยายกำลังภายในเรื่องมาเฟียบู๊ลิ้ม ไม่ได้อยู่ที่ความกล้าหาญในการเล่าถึงสันดานดิบชั่วร้ายของมนุษย์อย่างตรงไปตรงมา เพราะนิยายกำลังภายในตามขนบเดิมก็กระทำกันเป็นปรกติ แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ มาเฟียบู๊ลิ้ม ได้ชี้ให้เห็นว่า ความชั่วร้ายของมนุษย์ไม่ได้เป็นความเห็นแก่ตัวของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นโยงใยที่สลับซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสถาบันที่ตนเองสังกัด แม้แต่ผู้นำองค์กรที่มีอำนาจล้นฟ้าก็ยังไม่มีปัญญาเปลี่ยนแปลงแก้ไขเรื่องราวบางประการตามใจนึก

 

ฉินหมิงเยี่ย เป็นตัวละครที่ลักลั่นย้อนแย้งอีกตัวหนึ่ง เริ่มจากการเป็นองค์รักษ์ซ้ายของสำนักคุนหลุน ครั้นแล้วก็เข้ายึดครองตำแหน่งเจ้าสำนักไว้ด้วยความทะเยอทะยาน ภายหลังจากที่เจ้าสำนักคนเก่าสิ้นชีวิตลง ซึ่งนำไปสู่ความแตกแยกของสำนักเพราะองค์รักษ์ขวาและผู้ติดตามจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วย แต่เมื่อคลื่นลมเปลี่ยนทิศ ลูกชายของเจ้าสำนักคนเก่าที่สูญหายไป ได้พลันปรากฏตัวขึ้นพร้อมด้วยวิทยายุทธ์ที่น่าตระหนก ฉินหมิงเยี่ย ก็ชาญฉลาดพอที่จะสละตำแหน่งเจ้าสำนักที่ตนเองยึดครองชั่วคราวนี้ให้ พร้อมกับวางแผนหลอกใช้พลังฝีมือสุดยอดของเจ้าสำนักหนุ่มให้เป็นประโยชน์ต่อสำนักให้มากที่สุด จึงค่อยอาศัยจังหวะทางการเมืองและสมัครพรรคพวกช่วงชิงตำแหน่งมาในภายหลัง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้ามาบริหารและฟื้นฟูสำนักอย่างเต็มตัว ฉินหมิงเยี่ยก็กลับค้นพบว่าแผนการแยบยลที่วางไว้แต่แรกยังไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แถมยังกลับกลายเป็นภาระหนักอึ้งไปอีก เพราะหลังจากความเสื่อมโทรมของสำนักมาหลายปี ก็ย่อมทำให้เงินทองที่สะสมไว้ร่อยหรอลง กิจการค้าก็ถูกสำนักอื่นช่วงชิงพื้นที่ทำกินไปหมดสิ้น ยังไม่นับว่า สมุนบริวารและศิษย์ที่เข้าสังกัดเพราะความศรัทธาในตัวเจ้าสำนักหนุ่ม ก็กลับกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายมหาศาล ที่ซ้ำร้ายกว่านั้นก็คือ นโยบายพันธมิตรกับสำนักอู่ตังที่ร่วมกันผนวกกลืนค่ายพรรคเล็กสำนักน้อยทั้งหลายเข้ามา ก็กลับเป็นรายจ่ายมากกว่ารายรับ เพราะค่ายพรรคเหล่านั้น มีผลกำไรต่อสินทรัพย์อย่างจำกัดจำเขี่ยยิ่ง ไม่ได้มีกิจการค้าขายที่ใหญ่โตและสร้างกำไรมหาศาลเหมือนค่ายพรรคใหญ่ที่ยึดครองสินทรัพย์และทำเลชั้นดีไว้ทุกหนแห่ง

ฉินหมิงเยี่ย ที่นับว่าเป็นผู้ร้ายคนหนึ่งของเรื่อง ก็กลายเป็นว่าต้องเป็นผู้กระทำความดีให้สำนักไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายภารกิจอาจเป็นการกระทำที่ชั่วร้าย ก็เป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของสำนัก แม้ว่าตนเองจะวางแผนครอบครองสำนักไว้ในอนาคต แต่ก็กลับมีต้นทุนที่ต้องจ่ายออกไปก่อน นั่นคือ การทุ่มเททำงานให้สำนักฟื้นตัวไปสู่สถานะอันสูงส่ง อย่างน้อยก็เท่ากับในสมัยก่อนที่จะเผชิญวิกฤต

คนชั่วร้ายคนหนึ่ง กลับถูกหลอกใช้ให้ต้องกระทำความดีเพื่อสำนัก แม้ว่าการกระทำนั้นจะเกิดจากความโลภและทะเยอทะยานของตัวเองก็ตาม

 

มาเฟียบู๊ลิ้ม แม้จะเน้นไปยังด้านที่มืดมิดที่สุดของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ หากกระนั้นก็ยังมีคุณธรรม น้ำใจ และความดีงามปรากฎขึ้นมาให้เห็นเป็นระยะ

หวังเทียนอี้ อาจแปรเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มที่บริสุทธิ์ดีงามกลายเป็นนักฆ่ากระหายเลือดของพรรคสุขยืนยาว แต่ก็ยังมีน้ำใจกับมิตรสหายเก่า หากไม่ขัดกับภารกิจหรือผลประโยชน์ของพรรคมากเกินไป

เขายินดีปลดปล่อยชีวิตของจั่วเฟย ซึ่งเป็นสหายที่เคยมีบุญคุณกันอย่างลึกล้ำไป แม้ว่าอาจต้องเผชิญกับการล้างแค้นคืนในภายหลัง โทษฐานที่ทรยศหักหลังและฆ่าอาจารย์ที่รักของจั่วเฟยทิ้งไป แต่หวังเทียนอี้ก็หักใจลงมือต่อเพื่อนเก่าไม่ได้

เขายินดีทรยศต่อติงอี้จั่นที่เป็นสหายซึ่งไว้ใจกันและกันอย่างยิ่ง ก็เพื่อพรรคสุขยืนยาวที่ตนเองฝากชีวิตและศรัทธาทั้งมวลไว้ ครั้นเมื่อปรากฎว่าภารกิจนี้เป็นการหลอกใช้เพื่อการแก้แค้นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องราวของพรรคสุขยืนยาว หวังเทียนอี้ก็กลับยินดีสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องติงอี้จั่น แม้จะต้องทรยศต่อหลิงหานโกวอาจารย์ผู้มีพระคุณก็ตาม

 

ข้าพเจ้าคิดเป็นวีรบุรุษผู้กล้า เป็นวีรบุรุษผู้กล้าที่ถือคุณธรรมล้ำฟ้า ติงอี้จั่นเป็นสหายข้าพเจ้า ทั้งเป็นจอมยุทธ์ ไม่ว่าหลังจากนี้มันจะเป็นอะไร แต่ตอนนี้มันเป็นจอมยุทธ์ที่แท้จริง เป็นบุคคลที่คู่ควรแก่การยกย่อง เพราะเพื่อมัน ต่อให้ข้าพเจ้าต้องจบชีวิตจะเป็นอะไร ? ก่อนนี้ข้าพเจ้าสู้เสี่ยงชีวิต แต่นั่นล้วนเพราะเพื่อค่ายพรรค เพื่อผลประโยชน์ เพื่อความซื่อสัตย์ภักดี และเพื่อตัวเอง ตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังจะตาย ข้าพเจ้าไม่นำพากับการสละชีวิต เพื่อบุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องคนหนึ่ง”

 

(มาเฟียบู๊ลิ้ม เล่ม 10 หน้า 251)

 

คุณธรรมจากคนดี แม้จะน่ายกย่อง แต่ก็เป็นความสว่างในความสว่าง ไม่อาจกระตุ้นจิตใจมนุษย์ให้พลุ่งพล่านได้มากนัก หากว่าเป็นคุณธรรมจากคนเดนตาย ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่พร่ำบูชาคำว่าวีรบุรุษอย่างไร้เดียงสา ย่อมเรียกร้องน้ำตาและความตื้นตันที่ฝังในอกของผู้อ่านได้ดียิ่งกว่า โดยเฉพาะผู้ได้เคยลิ้มรสชาติแห่งความโหดร้ายและอับจนปัญญาของชีวิตมาจนชาชิน

เปรียบประดุจเปลวไฟที่สาดส่อง ในคุกตะรางที่มืดมิดและเย็นชา

 

มู่หยิงชิวสุ่ย อาจจะมีความผิดมหันต์ ที่รู้ข่าวการลอบสังหารบิดาบังเกิดกล้าของตน แต่กลับปกปิดไว้เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว แต่ก็น่าเห็นใจเพราะหากไม่ทำเช่นนี้ตนเองจะไม่มีที่ยืนในกิจการของวงศ์ตระกูล และอาจต้องถูกจำกัดทิ้งเพราะเป็นภัยคุกคามต่อการขึ้นสู่อำนาจของมู่หยงเฉิงลูกชายคนโตซึ่งเป็นที่โปรดปรานของบิดายิ่งกว่า แม้แต่มารดาที่ระทมทุกข์มาตลอดชีวิตก็ปกป้องไว้ไม่ได้

นี่เรียกว่าชะตาบีบคั้นคน ลูกที่พ่อไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แม้จะสร้างผลงานความชอบเพียงใด ก็ไม่มีคุณค่าความหมายอันใด

ฉากที่สะท้อนใจยิ่ง คือ ตอนที่มู่หยิงชิวสุ่ยและมู่หยงเฉิงเริ่มรู้สึกถึงภัยคุกคามของกันและกันอย่างชัดแจ้งแล้ว แต่ละฝ่ายก็คิดไม่ตก ใจหนึ่งก็อยากได้ชัยชนะและอำนาจมาครอบครอง อีกใจหนึ่งก็อยากจะลงให้กับพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน แล้วไปใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างเงียบสงบ

ใครจะคาดคิดว่า “มู่หยงชิวสุ่ย” ที่ได้ชื่อว่าอัจฉริยะในการช่วงชิงอำนาจและสร้างตระกูลมูหย่งให้กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่เทียมฟ้า บุรุษที่ประมุขตระกูลเสิ่นเคยเสียดสีแกมชื่นชมไว้ว่า แม้แต่ให้แต่งงานกับสุกรตัวเมีย มู่หยิงชิวสุ่ยก็ยินดีกระทำโดยไม่ลังเลเพื่อรักษาและเพิ่มพูนอำนาจของตน บุรุษที่ใจแข็งดั่งหินผาและหายใจเป็นผลประโยชน์เช่นนี้ ก็มีวันเวลาที่ครุ่นคิดและลังเลใจในการหักเล่ห์ชิงเหลี่ยมเพื่อช่วงชิงกับบิดาและพี่ชายของตน

มนุษย์ย่อมมีน้ำใจและด้านมุมที่อ่อนไหว แม้แต่คนที่กระหายอำนาจอย่างมู่หยิงชิวสุ่ยก็ตาม

นี่คือ ความละเมียดละไมในการเข้าใจมนุษย์อย่างลึกซึ้งของนิยายเรื่องมาเฟียบู๊ลิ้ม

 

หากสุดท้าย มู่หยิงชิวสุ่ย ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ของผู้ยิ่งใหญ่ ก็ต้องตัดสินใจเลือกเดินสู่เส้นทางวีรบุรุษที่ข้ามซากศพนับพันโดยไม่ลังเลกระพริบตา

นี่อาจเป็นมุมมองที่โหดร้าย แต่นั่นก็สำหรับญาติพี่น้องและฝ่ายตรงข้ามในกิจการของตระกูลมูหย่ง แต่ถ้ามู่หยงชิวสุ่ยเห็นแก่พี่น้อง ไม่ยอมช่วงชิงอำนาจเพื่อตัวเอง ก็เท่ากับทรยศอย่างโหดร้ายกับสมุนบริวารและญาติพี่น้องที่ยอมขายชีวิตให้มู่หยงชิวสุ่ย ติดตามบุกน้ำลุยไฟโดยมิพรั่นพรึงเพราะศรัทธาในพระเดช พระคุณ และบารมีของเขา

 

เกิดเป็นมนุษย์ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงจากความชั่วร้ายได้ แต่สิ่งที่พึงระลึกไว้ก็คือ เราควรจำกัดขอบเขตความชั่วร้ายไว้ให้อยู่ในวงที่แคบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แน่นอนว่า บางครั้งเมื่อคิดกระทำก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ที่เรียกว่า ขุดรากถอนโคนไม่ให้เหลือเภทภัยไว้ แต่กรณีแบบนี้ก็เป็นเพียงตัวอย่างสุดขั้ว ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก

ยิ่งในศตวรรษที่ 21 ที่การจัดสรรผลประโยชน์มีการแบ่งปันกันได้อย่างลงตัวกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อมีกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินไม่ให้ใช้กำลังแย่งชิงกันได้ง่ายดายเหมือนในอดีต มีสื่อมวลชนน้ำดีที่กล้าเปิดโปงพฤติกรรมชั่วร้ายของผู้มีอำนาจในบางจังหวะที่เหมาะสม มีตลาดหลักทรัพย์ที่ทำให้ผู้ก่อตั้งบริษัทที่เริ่มมีความเห็นไม่ลงรอยกันสามารถถอนตัวไปได้โดยการขายหุ้นทิ้ง แล้วก็แยกย้ายกันไปตามอุดมการณ์และความนึกฝันส่วนตัว

โศกนาฏกรรมของ 5 พี่น้องร่วมสาบานแห่งพรรคสุขยืนยาว ก็อาจไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น หากมีตลาดหุ้นและกฎหมายคุ้มครองให้อีกฝ่ายได้ถอนตัวล่าถอยไป โดยไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะกลับมาลอบทำร้ายถึงแก่ชีวิตเลือดเนื้อในภายหลัง

การประหัตประหารเพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้บริหารที่หากไม่ชนะก็พ่ายแพ้ (Winner Takes all) ในยุคสมัยศตวรรษที่ 21ก็ยิ่งกลายเป็นกรณีส่วนน้อยขึ้นทุกที เราสามารถมีกรณีที่ Win-Win ได้อย่างมากมาย แม้ฝ่ายที่ Win น้อยกว่าจะไม่พอใจอยู่บ้างก็ตาม

โลกในมาเฟียบู๊ลิ้ม เป็นโลกของคนยุคโบราณ ที่ผลประโยชน์ทางธุรกิจการค้าส่วนใหญ่ ผูกติดกับการเมือง การสงคราม และการประหัตประหารช่วงชิง แต่โลกในศตวรรษที่ 21 มีการแยกส่วนระหว่างธุรกิจและการเมืองได้ดีกว่าเดิม จึงไม่จำเป็นต้องเสียเลือดเนื้อมากมายถึงปานนั้น

มนุษย์ในศตวรรษที่ 21 จึงสามารถมีเมตตากันได้มากกว่าเดิม หากไม่โลภโมโทสันกันเกินไป

 

มาเฟียบู๊ลิ้ม อาจไม่ใช่นิยายที่อ่านแล้วรื่นรมย์ประโลมโลก ยิ่งไม่ใช่นิยายที่ดีเลิศจนถึงขั้นได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นวรรณกรรมคลาสสิค แต่กระนั้นมาเฟียบู๊ลิ้ม ก็ยังมีคุณค่าวรรณศิลป์ในการชี้ให้เห็นชีวิตจริงของสังคมมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน ปัจเจกชนไม่สามารถมีเจตจำนงเสรี (Free Will) และตัดสินใจกระทำทุกอย่างได้ตามปรารถนาแห่งหัวใจ โดยผู้เขียนสามารถผูกโยงเล่าเรื่องได้อย่างสนุกสนานมีสีสัน แม้ในบางสถานการณ์จะขาดความประณีตและสมจริงไปบ้าง แต่ก็นับว่าเป็นความเกินจริงที่สะท้อนให้เห็นแง่มุมซับซ้อนของสังคมมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น

 

นิยายเล่มนี้อาจไม่ช่วยอบรมกล่อมเกลาคุณธรรมให้ใครเป็นคนดีกว่าเดิม แต่อย่างน้อยก็อาจช่วยให้คนดีที่เคยเพ้อฝันว่าจะเป็นวีรบุรุษ ได้กลายเป็นคนดีที่เข้าใจมนุษย์และความซับซ้อนของสังคมได้สุขุมกลมกล่อมขึ้น ที่จะทำให้การกระทำดีของเขามีประสิทธิภาพกว่าเดิม แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่าเทียมที่เคยตั้งอุดมคติไว้

ความดีที่สุกงอมและกินได้ ย่อมดีกว่าองุ่นเปรี้ยวที่อยู่ไกลเกินฝัน

 

ขอบคุณภาพจาก : dek-d.com

 

เจริญชัย ไชยไพบูลย์วงศ์

ขอบคุณ : เจริญชัย ไชยไพบูลย์วงศ์
อาจารย์ประจำศูนย์ประชาคมอาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยสยาม / นักเขียนและนักวิจารณ์
www.siamintelligence.com

Top Hit


Special Deal