(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

new

ทดลองอ่านนิยายจีนเรื่อง "วังเดียวดาย" เล่ม 1

บทนำ

 

ข้าบังคับรถให้นาง ห้อตะบึงไปท่ามกลางสายฝนยามค่ำของเมืองตงจิง (เชิงอรรถ เมืองตงจิงมีอีกหลายชื่อ ที่คุ้นหูคือไคเฟิง เป็นเมืองหลวงในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงลงใต้ไปหลินอัน)

“ถึงแล้วหรือไม่” นางคอยถามมาจากในรถเป็นระยะ ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ด้วยความเจ็บช้ำของนาง ถ้อยคำเหล่านั้นเป็นเพียงอย่างเดียวที่ข้าพอจะฟังรู้เรื่องอยู่บ้าง

“ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว...” ข้าตอบไปอย่างนั้น สะบัดแส้ฟาดใส่วัวตัวเดียวที่ลากรถอยู่ เดียรัจฉานที่มักสาวเท้าอย่างเชื่องช้าละทิ้งสันดานเฉื่อยชาของมัน วิ่งกวดไปข้างหน้าด้วยความหวาดผวา กงล้อสองอันที่สวมอยู่กับเพลารถแล่นกึงกังตัดผ่านตรอกที่ไร้เงาผู้คน

ตลาดร้านรวงที่เคยคึกคักเมื่อยามกลางวัน ยามนี้ซีดจางลงกลายเป็นแนวกำแพงผุพังสีดำทะมึน เคลื่อนผ่านหางตาไปราวสายลม พวกเราน่าจะเดินทางมาไกลพอควรแล้ว สายฝนไร้ที่สิ้นสุดกับความเจ็บปวดเสียใจของนางกระหน่ำลงบนร่างข้า ซึมลงบนเสื้อผ้าข้า ความเปียกชื้นชำแรกเข้ามาภายใน จนแม้แต่หัวใจยังพลอยหนาวเหน็บตาม

ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ของนาง ข้าเริ่มร้อนใจขึ้นทุกขณะ ข้าไม่กล้าหันกลับไปมอง ได้แต่สะบัดแส้ไปเรื่อยๆ หวังให้ความรวดเร็วนั้น นำพาพวกเราออกจากสถานการณ์ลำบากยากเข็ญที่กำลังเผชิญอยู่เสียตอนนี้เลย

เส้นทางที่เคยใช้สัญจรหลายครั้งเหตุใดกลายเป็นยืดยาวขนาดนี้ได้? เหมือนกลายเป็นหนทางทั้งหมดที่ข้าเคยผ่านมาตลอดครึ่งชีวิตนี้ก็ไม่ปาน

นางร่ำไห้มาตลอดทาง

“ยังไม่ถึงอีกหรือ” นางสะอึกสะอื้นถามขึ้นอีกรอบ

ข้าอ้าปาก แต่ไม่มีเสียงใดหลุดรอดมา ชั่วพริบตานั้นข้ารู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอไร้อำนาจอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน และค้นพบอย่างเศร้าใจว่าอันที่จริงข้าไม่มั่นใจว่าจะส่งนางไปถึงปลายทางของค่ำคืนนี้ได้

วกเลี้ยวอีกหลายมุมตรอก อย่างลำบากยากเข็ญ พวกเราค่อยเดินทางมาจนถึงถนนใหญ่หน้าประตูซีหวา เมื่อฝ่าม่านหมอกสายฝนเข้าไปทีละชั้น พระราชวังที่โอ่อ่าใหญ่โตก็ค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นทุกที ใต้ชายคาปูกระเบื้องเคลือบแขวนโคมวังหลวง (หมายเหตุ: โคมอย่างวังหลวงเป็นโคมแบบหนึ่ง มักมีแปดหรือหกด้าน ทุกด้านกรุผ้าไหมหรือไม่ก็กระจก เขียนลวดลายสวยงาม ใต้โคมติดพู่ สมัยโบราณมักใช้กันในวัง จึงเรียกว่าโคมวังหลวง) ไว้เรียงราย กำแพงอิฐสูงใหญ่สลักเสลาเป็นลวดลายมังกรท่องริ้วคลื่น นั่นคือที่หมายการเดินทางครั้งนี้ของพวกเรา

ประตูซีหวาปิดไปนานแล้ว องครักษ์ที่เฝ้าประตูพอเห็นข้าขับรถตรงดิ่งเข้าใกล้ ก็รีบตวาดใส่ข้าแต่ไกล

“ผู้ใดบังอาจปานนี้ กล้าขับรถเข้าใกล้ประตูวังหลวง!”

ข้าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยุดรถลง เพิ่งหันกลับไปจะขอให้นางรอสักครู่ ให้ข้าได้แจ้งเรื่องก่อนสักนิด กลับเห็นนางเลิกม่านขึ้นด้วยตัวเอง ก้าวลงจากรถวิ่งเข้าหาประตูวังสุดฝีเท้า

ความเสียใจเจ็บช้ำถึงขีดสุดทำให้นางไม่มีแก่ใจบรรจงแต่งกาย สภาพยังคงเหมือนตอนที่เพิ่งออกจากบ้านมาไม่มีผิด ผมเผ้านางยาวสยายคลุมไหล่ ปกเสื้อลุ่ยลงมาเล็กน้อย ไม่มีทั้งผ้าคลุมไหล่และแพรคล้องแขน แม้แต่เสื้อตัวนอกที่ไม่เข้ากับยุคสมัยก็ยังเป็นข้าเองที่คลุมให้นางในช่วงฉุกละหุก

นางวิ่งออกไปทั้งที่ร่ำไห้อย่างนั้น ตรงเข้าหาประตูซีหวา แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ถูกองครักษ์สองนายสะอึกเข้าขวาง ผู้หนึ่งคว้าแขนนางไว้ ตวาดขับไล่นางด้วยโทสะ แต่นางกลับยิ่งคลุ้มคลั่ง ไม่ทราบไปมีเรี่ยวแรงมากมายจากที่ใด ดิ้นรนจนสลัดหลุดจากคนทั้งสอง วิ่งอย่างรวดเร็วกว่าเดิมไปถึงประตูซีหวา

นางยื่นมือเล็กบางทั้งคู่ออกไป ตบประตูที่ปิดสนิทไม่คิดชีวิต ทั้งร่ำไห้ทั้งกรีดร้อง

“ท่านพ่อ ท่านแม่ เปิดประตู! ให้ข้ากลับไป...”

องครักษ์ทั้งสองส่งเสียงเอะอะ พากันตรงดิ่งเข้ามาขับไล่นาง นางถูกองครักษ์รูปร่างสูงใหญ่อีกสองคนลากตัวออกห่าง แต่สองมือยังคงเอื้อมออกไปสุดแรง คิดสัมผัสประตูวังเคลือบชาดตอกหมุดทองอันเยียบเย็นนั้น นางร้องเรียกหาบิดามารดาไม่หยุดยั้ง เสียงฟ้าคำรามครืนครั่น สายลมสายฝนยิ่งกระหน่ำหนักหนากว่าเดิม เสียงร้องไห้ของนางแว่วหวิวแทรกมา หดหู่อ้างว้างไม่มีที่เปรียบ

องครักษ์ลากนางห่างออกมาได้หลายสิบก้าวจึงหยุดลง เหวี่ยงร่างนางลงกับพื้นสุดแรง พอเห็นนางยังคิดจะลุกขึ้นวิ่งกลับเข้าไป หนึ่งในนั้นก็มีโทสะ ทางหนึ่งตวาด “สตรีวิกลจริตจากที่ใดกล้ามาอาละวาดที่นี่!” ทางหนึ่งสะบัดทวนคู่มือเงื้อขึ้นสูง ทำท่าจะฟาดลงใส่ร่างนาง

แต่เขาไม่ได้ลงมือ เพราะข้าคว้าข้อมือเขาไว้จากด้านหลัง

องครักษ์นั้นหันกลับมา ตวาดถามอย่างเดือดดาล

“เจ้าเป็นผู้ใด”

ข้าไม่ได้ตอบ สายตามองผ่านไหล่องครักษ์ไปหานางที่อยู่บนพื้น

นางกึ่งนั่งกึ่งนอน ร่ำไห้อย่างอับจนหนทางถึงปานนั้น ใบหน้าซีดขาว ร่างกายที่อ่อนแอบอบบางซุกซ่อนอยู่ใต้ชุดกระโปรงชั้นนอกตัวใหญ่สีซีด เหมือนแสงจันทร์ที่พร้อมหลบเร้นหายได้ทุกเมื่อ

องครักษ์ที่มีโทสะกว่าเดิมรั้งกระบวนท่ากลับมา ทำท่าจะจู่โจมใส่ข้าแทน แต่ครั้งนี้กลับถูกสหายร่วมงานของเขาตวาดห้าม

“ช้าไว้! ข้าจำเขาได้” องครักษ์อีกผู้หนึ่งร้อง สำรวจข้าขึ้นๆ ลงๆ หลายรอบ ก่อนจะกระซิบกล่าวกับคนที่ถือทวนอย่างมั่นใจ “เขาคือขันทีคนสนิทเหลียงไหวจี๋ แต่ก่อนเคยผ่านเข้าวังหลวงทางประตูนี้หลายครั้ง”

คนถือทวนตะลึงตะลานไป ก่อนจะหันไปมองสตรีที่ถูกผู้เขาผลักล้มกับพื้น ถามตะกุกตะกัก

“อย่างนั้นเหนียงจื่อน้อย (หมายเหตุ: เหนียงจื่อเป็นคำเรียกสตรีสูงศักดิ์ในเชิงยกย่อง) ท่านนี้คือ...”

ข้าเดินเข้าไปพยุงนางขึ้นมา แน่ใจว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บแล้วจึงหันไปมองเหล่าองครักษ์ ตอบคำถามพวกเขา

“องค์หญิงเหยี่ยนกั๋ว” ข้ากล่าว

 

บทที่ 1 พุดตานริมน้ำในเดือนสารท ก็หมายมาดมองห่านที่บินคู่

 

1. ประตูวัง

 

ผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากเปิดประตูวังยามวิกาลมักหนักหนาผิดธรรมดา เรื่องนี้ข้าทราบตั้งแต่เข้าวังใหม่ๆ แล้ว

ปีนั้นข้าอายุได้แปดขวบ ถูกครอบครัววางแผนส่งเข้ามาเป็นขันทีน้อยในวังหลวง ก่อนหน้านั้นบิดาข้าเสียชีวิต มารดาแต่งงานใหม่ ในหมู่เครือญาติไม่มีผู้ใดยินดีรับข้าไปเลี้ยง ดังนั้นสำหรับข้า นี่จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

ข้าเข้าอบรมเรื่องข้อห้ามธรรมเนียมในวัง ร่วมกับเด็กอีกยี่สิบสามสิบคนที่เข้าวังมาพร้อมๆ กัน เรื่องใดที่สำคัญ เหลียงเฉวียนอี ขันทีหัวหน้าตำหนักที่คอยสอนพวกเรา ก็จะเชิญขันทีที่เกี่ยวข้องมาช่วยอธิบายขยายความ

“เมื่อฟ้ามืดลง ประตูวังทุกบานจำเป็นต้องปิดให้สนิท ก่อนตะวันขึ้นห้ามเปิดเป็นอันขาด” คนที่กล่าววาจานี้คือจางเม่าเจ๋อ ผู้ดูแลประตูตะวันออกชั้นใน

ข้าหลวงฝ่ายในโดยมากมักเข้าออกทางประตูนี้ ดังนั้นสำหรับขันทีแล้วหน้าที่ตรวจสอบคนและสิ่งของที่ประตูตะวันออกชั้นใน จึงเป็นตำแหน่งสำคัญอย่างยิ่ง ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบกว่าปี คนที่ได้ตำแหน่งนี้ตั้งแต่อายุเท่านั้นมีไม่มาก แต่เขาไม่ใฝ่หาชื่อเสียงเงินทอง ไม่เย่อหยิ่งทะนงตน ยามกล่าววาจาก็นุ่มนวลอย่างยิ่ง ข้าสังเกตพบอีกอย่างว่า ในบรรดาข้าหลวงฝ่ายในที่มาสอนเรื่องราวต่างๆ วันนั้น เสื้อผ้าที่เขาสวมก็สีหมองคล้ำที่สุด คล้ายดั่งสวมใส่มาแล้วหลายปี แต่ก็ซักไว้สะอาดสะอ้านทีเดียว

“หากมีเรื่องสำคัญจริงๆ ผู้ที่ต้องการเปิดประตูวังยามวิกาลควรมีราชหัตถเลขาและตราประทับมัจฉา (หมายเหตุ: คือตราประทับที่ทำเป็นรูปปลา ทำจากไม้หรือโลหะ ใช้สำหรับประทับยืนยันจดหมาย มีใช้มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์สุยและถัง)” จางเม่าเจ๋ออธิบายต่อไป “ผู้ได้รับราชหัตถเลขาต้องเขียนเวลา รายละเอียดเรื่องราว และชื่อประตูที่ต้องการเปิดลงไปก่อน รวมถึงจำนวนคนเข้าออก ศักดิ์ฐานะ ส่งไปยังสำนักจงซูเหมินเซี่ย (หมายเหตุ: สมัยราชวงศ์ซ่ง สำนักจงซูเหมินเซี่ยเป็นสำนักราชการที่มีอำนาจสูงสุด เป็นสถานที่ทำงานของมหาเสนาบดีและรองมหาเสนาบดี) ตั้งแต่แม่ทัพประจำประตูวังลงมา ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการเฝ้าประตูจะต้องลงชื่อยื่นเรื่องไปทางต้นสังกัด หลังจากราชสำนักอนุญาตแล้ว จึงเชิญขันทีผู้รักษากุญแจประตูวังไปเปิดประตูได้”

ฟู่ตูจือ (รองหัวหน้าขันที) ของสำนักกิจการฝ่ายในอย่างเริ่นโส่วจง ความจริงมีตำแหน่งสูงส่งอำนาจเหลือล้น เดิมทีไม่จำเป็นต้องมาสั่งสอนอธิบายงาน แต่จังหวะนั้นเขาบังเอิญผ่านมาพอดี ก็แวะเข้ามาดู ได้ยินจางเม่าเจ๋อพูดก็พยักหน้า กวาดตามองพวกข้าแวบหนึ่งแล้วกล่าว

“พวกเจ้าล้วนฟังให้ดี เวลาเปิดประตูก็ยังมีรายละเอียดที่ต้องใส่ใจอยู่”

ข้ารวมรวมสมาธิ ฟังจางเม่าเจ๋ออธิบายต่อไป

“ก่อนเปิดประตู ผู้เฝ้าประตูจะต้องเทียบตราประทับมัจฉาทองแดงให้ตรงกับขันทีผู้ถือกุญแจด้วย” จางเม่าเจ๋อยกตราประทับมัจฉาคู่หนึ่งให้พวกเราที่นั่งเรียงเป็นแถวอยู่ได้ดู “บนตราทองแดงนี้จะมีลายมัจฉาและชื่อประตู และตรามัจฉาทองแดงทุกชุดจะแบ่งเป็นด้านซ้ายและขวาสองอัน ผู้เฝ้าประตูและขันทีผู้ถือกุญแจเก็บไว้คนละอัน เมื่อถึงเวลาเปิดประตู ขุนนางหรือข้าหลวงผู้เฝ้าประตูจะต้องจัดกององครักษ์รักษาประตูให้พร้อมก่อน ทุกประตูที่จะเปิดต้องมีทหารอยู่ด้านนอกและในอย่างละกอง จุดคบเพลิงให้สว่าง ผู้เฝ้าประตูและขันทีตรวจสอบตรามัจฉา มั่นใจว่าไม่ผิดพลาดแน่แล้วจึงเปิดประตูได้ แม้ตราประทับประกบกันได้พอดี แต่หากข้าหลวงเฝ้าประตูไม่ตรวจสอบก่อนก็เปิดประตู หรือตรวจสอบแล้วพบว่าประกบกันไม่ได้ยังเปิดประตู หรือไม่มีราชหัตถเลขาแล้วยังเปิด ล้วนต้องรับโทษสถานหนัก”

“ล้วนจำได้แล้วหรือไม่” เริ่นโส่วจงสอดปากถาม พวกข้าพากันขานรับว่าจำได้ เขาชี้ไปยังขันทีน้อยที่อยู่แถวหน้าใกล้กับเขาที่สุด สั่งว่า “เจ้า ท่องทวนมารอบหนึ่ง”

เด็กน้อยนั้นกลับไม่ค่อยปราดเปรื่องนัก ยืนนึกอยู่เนิ่นนานเพิ่งท่องตะกุกตะกักออกมาได้เพียงสองสามประโยค ซ้ำในสองสามประโยคนั้นยังผิดพลาดอีกด้วย

เริ่นโส่วจงเคาะศีรษะเขา เอ่ยอย่างขุ่นเคือง

“เพียงไม่กี่ประโยคยังจำไม่ได้ จะทำงานในวังได้อย่างไร ต่อไปในบรรดาพวกเจ้าจะต้องมีหลายคนได้ดูแลกุญแจวังแน่ หากเกิดข้อผิดพลาด นั่นเป็นโทษทัณฑ์ถึงตัดศีรษะ!”

จางเม่าเจ๋อที่อยู่ด้านข้างเสริมว่า

“หากปล่อยคนเข้ามาโดยไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ สถานเบาคือถูกจองจำเนรเทศ สถานหนักต้องถูกแขวนคอ”

ขันทีน้อยทั้งหลายรับฟังจนแตกตื่นขวัญสะท้าน หันมองซ้ายมองขวา ลอบแลบลิ้นออกมา

“เจ้าออกไป คุกเข่าสำนึกผิดในลาน ค่ำนี้ไม่ต้องรับประทานข้าว” เริ่นโส่วจงประกาศโทษขันทีน้อยรายนั้น ก่อนจะกวาดตามองคนอื่นๆ สุดท้ายมาตัดสินใจเลือกข้า “เจ้าจำได้หมดสิ้นแล้วหรือไม่”

ข้าลุกขึ้นค้อมกาย ตอบคำถามเขาตามที่จางเม่าเจ๋อพูดมาทุกประโยค

“เมื่อฟ้ามืดลง ประตูวังทุกบานจำเป็นต้องปิดให้สนิท ก่อนตะวันขึ้นห้ามเปิดเป็นอันขาดหากมีเรื่องสำคัญจริงๆ ผู้ที่ต้องการเปิดประตูวังยามวิกาลควรมีราชหัตถเลขาและตราประทับมัจฉา... หากปล่อยคนเข้ามาโดยไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ สถานเบาคือถูกจองจำเนรเทศ สถานหนักต้องถูกแขวนคอ”

ไม่ผิดพลาดแม้แต่คำเดียว ตั้งแต่จางเม่าเจ๋อลงมา ขันทีทั้งหลายล้วนยิ้มออกมา

เริ่นโส่วจงเองก็พอใจอย่างยิ่งเช่นกัน ถามข้าด้วยสีหน้าอ่อนโยน

“เจ้าชื่ออะไร”

“เหลียงหยวนเฮิง” ข้าตอบ เสริมอีกประโยคว่า “หยวนเฮิงจากคำว่าหยวน เฮิง ลี่ เจิน (มั่นคง ราบรื่น ประโยชน์ มุ่งมั่น)”

เห็นชัดว่านั่นเป็นการวาดงูเพิ่มเท้า (หมายเหตุ: หาเรื่องโดยใช่เหตุ) โดยแท้ ประโยคนี้พอออกจากปาก ทุกผู้คนล้วนหน้าเปลี่ยนสี เริ่นโส่วจงสืบเท้าเข้ามาสองก้าว สะบัดมือตบหน้าข้าฉาดหนึ่งทันที

“เด็กโสโครกโอหังบังอาจ เจ้าไม่รู้หรือว่ากำลังจาบจ้วง”

ตอนนั้นข้าจึงเพิ่งนึกออกรำไร สมัยก่อนตอนท่านพ่ออธิบายความหมายของชื่อนี้กับข้า ก็เคยกำชับไว้เช่นกัน ว่าอย่าได้กล่าวคำ ‘เจิน’ ต่อหน้าผู้อื่น เนื่องเพราะฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงพระนามว่า ‘เจิน’ ดังนั้นคำ ‘เจิน’ จึงเป็นคำต้องห้าม

ข้าชะงักกับที่ ไม่ทราบควรรับมืออย่างไร ได้แต่หรุบตาลงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

เริ่นโส่วจงสั่งบริวาร

“ลากมันไปขังไว้ รอข้ากราบทูลฝ่าบาทก่อนค่อยจัดการลงโทษ”

ข้าอยู่ในห้องเล็กๆ ที่มืดมิดอยู่สองสามวัน นอนนิ่งเลื่อนลอย แทบไม่แตะต้องอาหาร และมีหลายครั้งที่เคลิ้มหลับไป ข้านึกว่าตัวเองกำลังจะต้องตาย

ในที่สุดก็มีคนเปิดประตู แสงสว่างที่ไม่ได้พบเห็นนานสาดทะลักเข้ามาราวคลื่นกระหน่ำ บาดตาข้าจนเจ็บแสบ

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ข้าก็ได้เห็นใบหน้าอ่อนโยนเมตตาของเหลียงเฉวียนอีผู้เป็นอาจารย์ คงเพราะข้ากับเขาแซ่เดียวกัน เขาจึงดีต่อข้าเสมอมา

“ไปกันเถอะ” เขาว่า พอเห็นข้าก้าวเดินอย่างไรเรี่ยวแรง ก็ย่อตัวลง แบกข้าขึ้นหลัง

น้ำตาที่ข้าหมดปัญญาควบคุมหยดลงบนลำคอเขา แต่เขาเดินต่อไปราวกับไร้เรื่องราว และไม่ได้ปลอบโยนข้าด้วย เพียงกล่าว

“ต่อไปต้องระวังแล้ว โทษหมิ่นเบื้องสูงนี้หากอยู่ข้างนอก ก็พอจะปกปิดกลบเกลื่อนได้ แต่ในวังไม่เหมือนกัน ขอเพียงพลาดพลั้งสักเล็กน้อยก็อาจมีภัยถึงชีวิต นี่เพราะจางเซียนเซิง (หมายเหตุ: เซียนเซิงเป็นคำเรียกผู้อื่นเชิงยกย่อง) วิงวอนฮองเฮา ให้ช่วยทูลขอกับฝ่าบาท เรื่องนี้เจ้าควรจดจำไว้...”

ข้าย่อมจดจำได้แน่นอน เมื่อจางเม่าเจ๋อมาสอนอีกครั้ง ข้าจึงติดตามเขาออกไปตอนเลิกเรียน ไปคุกเข่าตรงหน้าเขา โขกศีรษะขอบพระคุณที่ช่วยชีวิต

เขายิ้มเล็กน้อย บอกว่า

“เด็กน้อยเจ้ามีชื่อที่ถูกโยงไปหมิ่นเบื้องสูงได้ง่ายดายอย่างยิ่ง ยังคงเปลี่ยนใหม่ดีกว่า”

ข้าเห็นด้วย ก็ขอให้เขาเปลี่ยนชื่อให้ข้า

เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าว

“ไหวจี๋ ต่อไปนี้เจ้าชื่อไหวจี๋แล้วกัน”

ข้าขอบคุณเขาอย่างจริงใจ เขาก็ถามอีก

“เจ้าเคยเรียนหนังสือมาใช่หรือไม่”

ข้าตอบไป

“ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บ้าน ท่านพ่อเคยสอนให้ข้ารู้จักอักษรอยู่หลายตัว”

เขาพยักหน้า มองข้าอย่างอย่างพิจารณา ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

 

2. ขันที

 

ผ่านไปครึ่งปี หลังจากคุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมต่างๆ ในวังแล้ว พวกเราก็ถูกแบ่งให้แยกย้ายไปเรียนเนื้อหาใหม่ๆ ที่สำนักข้าหลวงฝ่ายในทั้งสองแห่ง

ข้าหลวงฝ่ายในสมัยราชวงศ์ซ่งแบ่งเป็นสองสำนัก คือสำนักกิจการฝ่ายในกับสำนักขันที สำนักกิจการฝ่ายในจะรับผิดชอบภายในที่ประทับ ดูแลงานต่างๆ ของวังหลัง เรียกอีกอย่างว่า ‘ฝ่ายใน’ หรือ ‘แผนกเหนือ’ ส่วนสำนักขันทีจะดูแลสถานที่ทรงงานและพักผ่อน รวมไปถึงงานจิปาถะอย่างรดน้ำทำความสะอาด เรียกอีกอย่างว่า ‘ฝ่ายหน้า’ หรือ ‘แผนกใต้’

ข้าถูกจัดให้ไปอยู่แผนกงานอักษรของสำนักฮั่นหลิน (หมายเหตุ: สำนักฮั่นหลินคือสำนักบัณฑิตประจำราชสำนัก) ใต้ความดูแลของสำนักขันที เนื่องเพราะวันหน้าต้องดูแลหนังสือและงานศิลปะ ดังจึงมีขันทีที่รอบรู้กว้างขวาง เชี่ยวชาญเชิงอักษรมาอบรมพวกเรา นอกจากงานปัดกวาดเช็ดถูกที่เหล่าขันทีน้อยต้องทำแล้ว ข้าใช้เวลาที่เหลือไปกับการอ่านโคลงกลอนท่องตำรา ศึกษาลายมือแบบจ้วน ลี่ สิง ฉ่าว จางฉ่าว และเฟยไป๋

ข้าชมชอบบรรยากาศสงบสุขในหอตำราและชีวิตที่เรียบง่ายอย่างนี้เหลือเกิน แต่จางเฉิงจ้าวกลับไม่เห็นด้วย มักโอดครวญอยู่ทุกวี่วัน

จางเฉิงจ้าวเป็นสหายร่วมงานในแผนกงานอักษรของข้าเอง เขาอายุน้อยกว่าข้าสองเดือน แต่เข้าวังก่อนหนึ่งปี ชอบอวดโอ่วางมาดเป็นรุ่นพี่ต่อหน้าผู้มาใหม่ มักเล่าเรื่องราวต่างๆ ในวังให้พวกเราฟังด้วยน้ำเสียงเหมือนสั่งสอน คนอื่นๆ ล้วนขัดตาสารรูปของเขา มีแต่ข้าที่ไม่พูดมาก สงบฟังเขาเงียบๆ ทุกครั้ง ดังนั้นภายหลังพวกเราจึงกลายเป็นสหายสนิทกัน

เขาอยากย้ายไปสำนักกิจการฝ่ายใน และจากปากคำของเขานี่เอง ข้าจึงได้รู้ว่าฐานะของสองสำนักนี้ไม่เท่ากัน

วันหนึ่งพวกเราสองคนได้รับคำสั่งให้นำม้วนหนังสือจากแผนกงานอักษรไปส่งที่สำนักจงซูเหมินเซี่ยเนื่องเพราะเซี่ยงกง(หมายเหตุ: คำเรียกบัณฑิตหรือขุนนางในเชิงยกย่อง) เร่งร้อนจะเอา พวกเราจึงต้องซอยเท้าวิ่งไปตลอดทาง พอถึงหัวมุมแห่งหนึ่งเกิดไม่ทันระวัง ชนเข้ากับขันทีอีกสองคนที่เดินสวนมา สองคนนั้นสูงกว่าพวกเรา จึงเพียงเซไปสองก้าว แต่พวกเรากลับล้มลงกับพื้น ม้วนหนังสือร่วงกระจาย

“พวกเด็กโสโครก ไม่มีตาหรือ” สองคนนั้นด่าพวกเราอย่างขุ่นเคือง

ข้าไม่สนใจพวกเขา เพียงลนลานเก็บม้วนหนังสือขึ้นมา ตรวจดูว่าสกปรกเสียหายที่ใดหรือไม่ จางเฉิงจ้าวพอได้ยินก็มีโทสะ ตะเกียกตะกายลุกขึ้นเตรียมจะด่าคน แต่พอเห็นเครื่องแบบคนพวกนั้นชัดตา ความกล้าก็หายไปทันที กลับยิ้มประจบ กล่าว

“เป็นเพราะพวกเราไม่ระวังให้ดีเอง ขวางทางพี่ชายทั้งสองท่าน ขอพี่ชายโปรดอภัย สมควรถูกตบตีแล้ว!”

พูดจบก็ตบหน้าตัวเองฉาดหนึ่ง ทั้งยังหัวเราะ ค้อมตัวกล่าวขออภัยไม่หยุดยั้ง สองคนนั้นถลึงตามองพวกเราอีกสองรอบ จึงได้ลอยชายจากไป

ข้าไม่เข้าใจ ก็ถาม

“เหตุใดเจ้าต้องพินอบพิเทากับพวกเขาปานนี้”

จางเฉิงจ้าวทำท่าเตะต่อยลมแล้งไล่หลังสองคนนั้น ถ่มน้ำลายอีกพรวด ก่อนตอบว่า

“ข้อแรก พวกเขาเป็นเน่ยซื่อหวงเหมิน (หมายเหตุ: เน่ยซื่อหวงเหมินหรือขันทีแห่งวังหลวงเป็นชื่อตำแหน่ง อยู่ลำดับต่ำที่สุดของขันทีที่มีสังกัด) แล้ว ข้อสอง พวกเขาเป็นขันทีของสำนักกิจการฝ่ายใน”

ข้ารู้ว่าตอนนี้พวกเราเป็นเพียงขันทีน้อยยังไม่มีระดับขั้น เน่ยซื่อหวงเหมินย่อมเหนือล้ำกว่าพวกเราขั้นหนึ่ง แต่ไม่เข้าใจว่าขันทีของสำนักกิจการฝ่ายในมีอะไรคู่ควรให้นับถือเป็นพิเศษ

“พวกเขาปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาท เหนียงเหนียง (หมายเหตุ: คำเรียกหญิงสูงศักดิ์ หมายถึงฮองเฮาและเหล่าพระสนม) และองค์หญิงอย่างไร! แค่ใส่ไฟต่อหน้านายเหนือเล็กๆ น้อยๆ พวกเราก็เดือดร้อนแล้ว” จางเฉิงจ้าวเอ่ยอย่างหงุดหงิด “แต่ก่อนข้าเกียจคร้าน ไม่ตั้งใจร่ำเรียนธรรมเนียมปฏิบัติ จึงไม่ได้ถูกส่งไปสำนักกิจการฝ่ายใน”

หลังกลับจากสำนักจงซูเหมินเซี่ย จางเฉิงจ้าวก็อธิบายความสำคัญของสำนักกิจการฝ่ายในให้ข้าฟัง

“พวกที่ได้รับใช้ในตำหนักของฝ่าบาท ฮองเฮา พระสนมทั้งหลาย หรือองค์หญิงนั้นไม่ต้องพูดถึง ล้วนคัดเลือกไปจากฝ่ายใน ซ้ำหน่วยงานที่ฝ่ายในดูแลก็ไม่ธรรมดา...

“แผนกพระโอสถทำหน้าที่ตรวจสอบตำราแพทย์ ปรับตัวยาให้เหมาะสมสำหรับใช้ถวายฝ่าบาทและฝ่ายใน คนในวังนับหน้าถือตาที่สุด ขันทีที่ไม่มีความดีความชอบไม่มีทางได้ย้ายไปแผนกพระโอสถเด็ดขาด

"ฝ่ายประตูตะวันออกชั้นในคอยดูแลผู้คนและสิ่งของที่เข้าออกวังหลวง ไม่เพียงจำกัดการเดินทางได้ หากพบใครมีของต้องสงสัย ยังสามารถส่งตัวไปให้กององครักษ์วังหลวงจัดการ หรือไม่ก็รายงานต่อสำนักจงซูเหมินเซี่ยได้อีก มีพวกเขาคอยสอดส่องดูแล แม้แต่ฝ่าบาทยังไม่กล้าตกรางวัลมอบสิ่งของให้ผู้ใดตามพระทัย

“กองเบิกจ่ายดูแลการเบิกเงินทองของใช้ของฝ่ายใน รวมถึงหลักฐานการเบิกของ สิ่งใดทรงมีราชโองการประทานให้ ก็จะเขียนรายการสิ่งของและจำนวน มอบให้ฝ่ายที่ดูแลพระคลังไปเบิกออกมา ของที่ฝ่าบาทประทานจะต้องผ่านด่านพวกเขาก่อน แล้วจะมีผู้ใดกล้าล่วงเกิน? ภาพวาด บทความ และสมบัติต่างๆ ที่เก็บไว้ในหอหลงถู อวี๋ชาง และเป่าเหวิน ล้วนเป็นของล้ำค่าที่สุด ขันทีที่ทำงานอยู่ตรงนั้นฐานะย่อมต้องต่างจากผู้อื่น”

“สำนักขันทีเองก็ทำงานรับใช้ฝ่าบาทเหมือนกันไม่ใช่หรือ เหตุใดสองสำนักนี้ต้องแบ่งชนชั้นมีสูงมีต่ำด้วย” ข้าถามเขา

“ไม่เหมือนเลย ต้องมีสูงต่ำ!” จางเฉิงจ้าวร้อง “ดูเสียก่อนว่าฝ่ายหน้ารับผิดชอบหน้าที่อะไรบ้าง...

“แผนกราชสาสน์ดูแลเรื่องการติดต่อเจรจากับทูตชี่ตัน ยามปกติว่างงานอย่างยิ่ง แต่ไม่เกี่ยวข้องใดกับคนในวัง และไม่มีใครไปประจบสอพลอด้วย

“แผนกอุทยานฝ่ายในดูแลสวน สระน้ำ การตกแต่งพลับพลาที่ประทับในอุทยาน เตรียมพร้อมให้ฝ่าบาทและเหล่าเหนียงเหนียงมาเที่ยวเล่น คนในแผนกความจริงก็ทำหน้าที่คนสวนคนงาน

“แผนกงานช่างดูแลเครื่องใช้สำหรับงานวิวาห์ในวังและของเหล่าราชสกุล ล้วนเป็นงานลำบากใช้แรงทั้งนั้น

“กองทหารนำเข้าเฝ้าทำหน้าที่เป็นองครักษ์ประจำตำหนักปีก ดูแลเรื่องการเข้าเฝ้า เท่ากับเป็นคนนำทาง

“สำนักฮั่นหลินของพวกเรามีแผนกดาราศาสตร์ อักษรศาสตร์ ศิลปะ การแพทย์ทั้งสี่แผนก ดูแลเรื่องปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ เขียนอักษร วาดภาพ การแพทย์และยา แม้จะสบายกว่าฝ่ายอื่นๆ บ้าง แต่ต่อให้พวกเราเขียนอักษรได้ดีกว่านี้ อย่างมากก็เป็นได้แค่บริวารของเหล่าบัณฑิต ทำงานจดบันทึก แม้แต่ชายขอบฝ่ายในยังเอื้อมไปไม่ถึง...”

ข้าเงียบไป ได้ยินเขาถอนหายใจหนักๆ อีกรอบ

“อีกประการ เบี้ยหวัดของคนในสองสำนักนี้ก็ไม่เหมือนกัน พูดถึงแค่ตำแหน่งก้งเฟิ่งกวาน (หมายเหตุ: ตำแหน่งนี้มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง เป็นคนสนิทปรนนิบัติใกล้ชิดฮ่องเต้ แต่มาถึงสมัยราชวงศ์ซ่งก็กลายเป็นชื่อตำแหน่งที่บอกลำดับยศศักดิ์เฉยๆ ไม่มีขอบเขตงานที่แน่นอน) ที่มีอยู่ทั้งสองสำนักแล้วกัน ก้งเฟิ่งกวานของฝ่ายหน้าเราได้เบี้ยหวัดเป็นเงินเดือนละหนึ่งหมื่นพวง ฤดูใบไม้ผลิและฤดูหนาวได้แพรพรรณฤดูละห้าพับ ฤดูหนาวได้ผ้าไหมหนักยี่สิบตำลึงเพิ่มมาอีก แต่ฝ่ายในได้เบี้ยหวัดหนึ่งหมื่นสองพันพวง แพรพรรณฤดูใบไม้ผลิห้าพับ ฤดูหนาวเจ็ดพับ ผ้าไหมอีกสามสิบตำลึง... หากฝ่ายในขาดคน ให้ดึงจากฝ่ายหน้าไปเติม นั่นเท่ากับได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว คนที่ถูกถึงไปมักหัวร่อจนหุบปากไม่ลง... เจ้าดูพวกผู้คนของฝ่ายใน แต่ละคนแข่งกันสวมใส่อาภรณ์สีสันบรรเจิดสดใส...”

“ก็ไม่แน่นัก” ข้านึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้ “จางเซียนเซิงที่อยู่ประตูตะวันออกชั้นในสวมใส่อย่างเรียบง่ายธรรมดายิ่ง”

จางเฉิงจ้าวจนคำพูดไปทันที เกาศีรษะครุ่นคิดแล้วกล่าว

“อาจเพราะเขาต้องการเก็บออมเงิน ดังนั้นจึงใช้ชีวิตสมถะ”

แต่เมื่อข้าพูดขึ้นมาแล้ว เขาก็เกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ถามข้าว่า

“เจ้ารู้หรือไม่ ได้ยินว่าที่เจ้าได้มาสำนักฮั่นหลิน ก็เป็นความคิดของจางเซียนเซิงด้วย ประหลาดแท้ เขาดีต่อเจ้าอย่างยิ่งมิใช่หรือ ชื่อเจ้าก็เป็นเขาตั้งให้ เหตุใดเขาไม่ให้เจ้าไปอยู่ฝ่ายใน”

ข้ายิ้มเล็กน้อย กล่าว

“คงเพราะเห็นว่าที่นี่เหมาะกับข้า ข้าเองก็คิดเช่นนี้”

เขาส่ายหน้าอย่างดูแคลน สายตาที่มองข้าเหมือนจะบอกว่า ‘เด็กน้อยเจ้าขุนไม่ขึ้นเลย’

หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งปี พวกเราก็ได้เลื่อนขึ้นไปบรรจุตำแหน่งเน่ยซื่อหวงเหมิน มีฐานะเป็นข้าหลวงเต็มตัว

จางเฉิงจ้าวมุ่งมั่นกับเรื่องเลื่อนขั้นให้สูงขึ้นไปยิ่งนัก คอยงอนิ้วนับคำนวณอยู่ทุกวัน ว่าจากปัจจุบันขึ้นไปถึงตำแหน่งสูงสุดจะต้องผ่านตำแหน่งอะไรบ้าง

“เน่ยซื่อหวงเหมิน เน่ยซื่อเกาปัน (ขันทีชั้นสูง) เน่ยซื่อเกาผิน (ขันทีผู้ใหญ่) เน่ยซื่อเตี้ยนโถว (ขันทีหัวหน้าตำหนัก) ก้งเฟิ่งกวานฝ่ายตะวันตก ก้งเฟิ่งกวานฝ่ายตะวันออก ยาปัน (หัวหน้าฝ่าย) ฟู่ตูจือ (รองหัวหน้าขันที) ตูจือ (หัวหน้าขันที) ตูตูจือ (เจ้าสำนักขันที)... เหลี่ยงเสิ่งตูตูจือ (เจ้าสำนักขันทีประจำสองสำนัก)...” ทุกครั้งที่ท่องไปถึง ‘เหลี่ยงเสิ่งตูตูจือ’ เขาเป็นเต้องแย้มยิ้มออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ คล้ายเห็นตำแหน่งสูงสุดของข้าหลวงฝ่ายในนี้กำลังกวักมือเรียกเขาอยู่ก็ปาน ตัวข้าที่เห็นภาพนี้ประจำก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

มีครั้งหนึ่งข้าถามเขา

“เหตุใดเจ้าอยากเป็นเหลี่ยงเสิ่งตูตูจือขนาดนั้น”

“จะได้มีเงินมากมาย... มากมายอย่างไร!” เขาโพล่งตอบมาทันที “เบี้ยหวัดของเหลี่ยงเสิ่งตูตูจืออย่างน้อยๆ ก็เป็นเงินห้าหมื่นพวง มากกว่าพวกเราตั้งห้าสิบเท่า”

ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเขาหนักแน่นมั่นคงกับเงินขนาดนั้น

“พวกเราจะเอาเงินมามายปานนั้นไปทำอะไร ทั้งไม่อาจซื้อเรือกสวนไร่นา ไม่อาจตบแต่งภรรยา ยิ่งไม่มีทายาทให้ส่งต่อเป็นมรดกด้วย”

คำถามนี้ทำเขาชะงักไป จนครู่ใหญ่จึงกล่าว

“ต่อให้ไม่พูดถึงเงิน แต่หากเป็นเหลี่ยงเสิ่งตูตูจือได้ นอกจากฝ่าบาทกับเหนียงเหนียง ก็ไม่มีผู้ใดกล้าตีข้าด่าข้าอีกแล้ว มีแต่ข้าไปด่าว่าตบตีผู้อื่น... พวกเราทำงานลำบากลำบนอยู่ในวังหลวง อย่างไรก็ควรมีเป้าหมายบ้างกระมัง หากเจ้าไม่ต้องการเลื่อนขั้น อย่างนั้นเจ้าหวังอะไร”

คราวนี้กลับเป็นข้าเองที่เงียบไป ตัวข้าตอนนั้นแทบจะใช้ชีวิตทุกวันไปอย่างเงียบงันเรียบง่าย ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีความหวัง

 

3. ชุยไป๋

 

ตอนอายุสิบสอง ข้าถูกโยกย้ายไปทำงานในหอภาพของสำนักฮั่นเหลิน ลำดับขั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่เนื้องานเปลี่ยนเป็นปรนนิบัติบัณฑิตชั้นไต้จ้าว (หมายเหตุ: ไต้จ้าวเป็นชื่อตำแหน่งขุนนางสมัยโบราณ มีหน้าที่อบรมพัฒนาผู้มีความสามารถให้กลายเป็นบัณฑิตประจำสำนักฮั่นหลิน) ฟังคำสั่งขุนนางที่ทำงานอยู่ในหอภาพ แต่เหล่าขันทีในแผนกงานอักษรล้วนเห็นใจข้า บอกว่านี่เป็นการลดขั้น เพราะหอภาพมีศักดิ์ต่ำกว่าหอตำราขั้นหนึ่ง

ข้าเองก็ทราบ ผู้คนในหอภาพหอตำราเดิมทีมีตำแหน่งไม่สูงอยู่แล้ว แม้ในบรรดานั้นจะมีขุนนางขั้นสี่ขั้นห้าอยู่บ้าง สามารถสวมเครื่องแบบสีแดงสีม่วงเหมือนขุนนางฝ่ายบุ๋นทั่วๆไป แต่ไม่ได้พกตราประจำตัวรูปมัจฉา ในสายตาคนทั่วไป ไต้จ้าวในหอภาพหอตำราเป็นพวก ‘เข้ามาได้ด้วยการบันเทิง’ ความนับถือที่มีให้จึงจำกัดอย่างยิ่ง คนในหอภาพยังต่ำชั้นกว่าคนในหอตำราไปอีก ทุกครั้งที่เหล่าไต้จ้าวจัดแถวในที่ประชุมขุนนาง พวกหอตำราล้วนได้อยู่หัวแถว หอภาพตามหลัง ดีกว่าหอพิณ หมากล้อม ช่างหยก ช่างฝีมืออื่นๆ เล็กน้อยเท่านั้น

ขนาดไต้จ้าวยังเป็นเช่นนี้ ขันทีในหอย่อมพลอยถูกแบ่งชนชั้นไปด้วย เน่ยซื่อหวงเหมินเหมือนกันแท้ๆ แต่ขันทีหอพิณสู้ขันทีหอภาพไม่ได้ ขันทีหอภาพก็สู้ขันทีหอตำราไม่ได้

ตอนนั้นแผนกงานอักษรของสำนักฮั่นหลินอยู่ใต้การดูแลของรองหัวหน้าขันทีเริ่นโส่วจง จางเฉิงจ้าวจึงแนะข้าว่า

“เจ้าไปขอร้องจางเซียนเซิงดู ขอให้เขากราบทูลต่อฮองเฮา ให้ฮองเฮาสั่งรองหัวหน้าเริ่น ปล่อยเจ้าอยู่ที่หอตำราต่อเถอะ”

พอข้าไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เขาก็ขยิบตาให้ข้า หัวเราะกล่าว

“ไปขอเถอะ ไม่เป็นไร จางเซียนเซิงเป็นคนโปรดของฮองเฮา เพียงเขากล่าวไปประโยคเดียว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องไปหอภาพแล้ว”

ข้าสั่นศีรษะให้เขา ปฏิเสธข้อเสนอไป ข้าไม่สงสัยเรื่องความโปรดปรานความเชื่อถือที่จางเซียนเซิงได้รับจากฮองเฮาเลย แต่ก็รู้เหมือนกัน ว่าการถือดีที่มีฮองเฮาหนุนหลัง วิงวอนขอนั่นขอนี่ไม่ใช่นิสัยเขา ครั้งก่อนที่ออกปากช่วยข้า นับเป็นเหตุการณ์พิเศษหายากที่สุด ข้าไม่ต้องการให้เขาละเมิดกฎเกณฑ์ของตัวเองอีก ข้าไม่เคยกล้าหวัง และไม่ต้องการเห็นใครไปวิงวอนผู้อื่นเพื่อข้า

จิตรกรในหอภาพแบ่งเป็นระดับฮว่าเสวียเจิ้ง ไต้จ้าว อี้เสวีย จือโฮ่ว และก้งเฟิ่ง รวมห้าขั้น ผู้ที่ยังไม่ได้ขั้นล้วนจัดเป็นนักเรียนวาดภาพ ภาพที่วาดออกมาทั้งหมดจะต้องเป็นภาพสำหรับรับใช้ราชสำนัก หรือต้องไม่ก็รับราชโองการไปวาดภาพตามวัดวาอารามต่างๆ ที่กำหนด สถานที่แห่งนี้เงียบสงบกว่าหอตำรา ทุกๆ สิบวันจะต้องไปหยิบฉวยภาพวาดจากหอลับ (หมายเหตุ: หอลับหรือหอมี่เก๋อ เป็นสถานที่เก็บหนังสือในวัง) มาให้เหล่าจิตรกรดูเป็นแบบ วันนั้นจะเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง แต่ยามปกติมีงานไม่มาก ส่วนใหญ่ข้าเพียงต้องคอยยืนอยู่ด้านข้าง ฟังเหล่าขุนนางในหอภาพอธิบายให้ความรู้ หรือไม่ก็คอยดูพวกจิตรกรวาดภาพเท่านั้น

ในบรรดาจิตรกรทั้งหลาย ข้าชอบมองดูภาพของนักเรียนที่ชื่อชุยไป๋เป็นพิเศษ เขาเป็นคนหาวเหลียง (หมายเหตุ: ปัจจุบันคืออำเภอเฟิ่งหยาง มณฑลอันฮุย) ตอนนั้นอายุได้ยี่สิบเศษ มีผลงานโดดเด่นทีเดียว นิสัยปล่อยตัวตามสบาย กระทำเรื่องราวใดล้วนไม่ยึดติดกับกรอบธรรมเนียม มักไปมาตามลำพัง ทำให้ผู้คนในหอภาพทั้งกริ่งเกรงทั้งรังเกียจ แต่ภาพของเขากลับมีพลังบางอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นจากภาพอื่นๆ ในหอ และนั่นเป็นสิ่งที่ข้าชื่นชอบยิ่งนัก

วันหนึ่งกลางฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ในหอภาพปลิดปลิวร่วงโรย เขาวาดภาพนกที่หนาวเหน็บตัวแข็งบนกิ่งไม้อยู่ผู้เดียว ข้ายืนมองเงียบๆ อยู่ด้านหลัง ระหว่างที่เขาวางพู่กันพักผ่อนบังเอิญหันกลับมาเห็นข้าเข้า ก็แย้มยิ้มถาม

“จงกุ้ยเหริน (หมายเหตุ: จงกุ้ยเหรินเป็นคำเรียกข้าหลวงใกล้ชิดเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ในที่นี้ใช้เรียกขันทีเชิงยกย่อง) ก็ชอบวาดภาพหรือ”

ข้าก้าวถอยไปก้าวหนึ่ง ค้อมกายตอบ

“ไหวจี๋อุกอาจเสียมารยาท รบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของคุณชายชุย”

“นั่นกลับมิใช่” ชุยไป๋หัวเราะ กล่าว “ข้าเพียงประหลาดใจ เหตุใดจงกุ้ยเหรินไม่ไปดูไต้จ้าวคนอื่นๆ ในหอวาดภาพ กลับมาสนใจผลงานต่ำต้อยของข้า”

ข้าครุ่นคิด บอกว่า

“จำได้ว่าวันที่ไหวจี๋เข้ามาในหอภาพ เห็นนักเรียนทั้งหลายล้วนกระทำตามฮว่าเสวียเจิ้ง (หมายเหตุ: ชื่อตำแหน่งขุนนางจิตรกรชั้นสูง) วาดภาพวิหคดอกไม้เลียนแบบภาพของหวงจวีไฉ่ มีเพียงคุณชายท่านเดียวที่เบือนศีรษะมองออกไปนอกหน้าต่าง วาดทวิบาทบนกิ่งไม้ในสวน”

ชุยไป๋โบกมือหัวเราะ

“วิหกดอกไม้ฝีมือผู้แซ่หวงงดงามเลิศล้ำ ชั่วชีวิตนี้ข้าก็ไม่มีทางเลียนแบบได้ จึงวาดภาพด้วยลายเส้นตัวเองเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป”

ข้ายิ้ม กล่าวไป

“คุณชายชุยเพียงจรดพู่กันภาพก็สำเร็จได้สมความคิด ไม่จำเป็นต้องใช้เชือกใช้ไม้บรรทัดก็ได้เส้นตรงเส้นโค้ง ได้สี่เหลี่ยม ได้วงกลม ถูกต้องตามหลักทุกประการ ไหวจี๋นับถืออย่างยิ่งเสมอมา”

“จงกุ้ยเหรินชมเกินไปแล้ว” กล่าวจบชุยไป๋ก็หยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก่อนจะจรดปลายลงกับกระดาษ ก็โพล่งถามข้าอีก “หรือในหอภาพแห่งนี้ยังมีคนที่เขียนเส้นตรงเส้นโค้ง สี่เหลี่ยมวงกลมไม่ตรงตามหลักด้วย?”

ย่อมต้องมี แต่ข้าเพียงแย้มยิ้มเล็กน้อย ไม่ตอบอะไร

บางทีตัวเขาเองก็คงรู้คำตอบเหมือนกัน ชุยไป๋จึงไม่ถามต่อ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเจือจางของความภาคภูมิ ก่อนจะหันกลับไปวาดภาพต่อ ลูกผมบริเวณหน้าผากที่ไม่มีวันหวีได้เรียบทิ้งปอยลงมาเช่นเคย สะบัดเคลียด้านข้างของใบหน้าเขาตามจังหวะการตวัดพู่กัน แต่สายตาของเขาจับจ้องที่ภาพวาดไม่เคยเบนห่าง ไม่สนใจไยดีสักน้อยนิด

 

ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงค่อยๆ สนิทกัน สุมศีรษะพูดคุยเรื่องตำราภาพวาดกันเป็นประจำ เขามองออกว่าข้าสนใจเรื่องการวาดภาพ จึงเสนอจะสอนข้า ข้าย่อมยินดียิ่ง เมื่อพวกเราต่างว่าง ข้าจึงร่ำเรียนวิชาวาดภาพจากเขา

วันหนึ่งเขาสอนข้าวาดภาพนกกระทากลางป่าฤดูใบไม้ผลิโดยไม่ต้องขึ้นโครงก่อน ฮว่าเสวียเจิ้งของหอภาพเดินผ่านห้องที่พวกเราวาดภาพกันอยู่พอดี พอเห็นคนควงพู่กันคือข้า ก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง เดินเข้ามาชมดู ข้าวางพู่กันทันที คารวะเขาตามปกติ แต่เขาไม่สนใจตอบโต้ เดินตรงดิ่งมายืนข้างข้า จ้องมองภาพที่ข้าวาดอย่างพิจารณา

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา สำนักฮั่นหลินของราชวงศ์เราก็นิยมนับถือรูปแบบภาพวาดที่สกุลหวง... หวงเฉวียนและหวงจวีไฉ่สองบิดากับบุตรรังสรรค์ขึ้น จะวาดบุปผาต้นไผ่ ขนนกใดๆ ล้วนต้องใช้แท่งถ่านขึ้นโครงไว้ก่อน จากนั้นค่อยลากหมึกตัดเส้นอย่างละเอียดบางเฉียบที่สุด แล้วจึงลงสีทับเป็นชั้นๆ ภาพที่ได้จะประณีตงดงาม สีสันเข้มสดดึงดูดสายตา แต่ยามนี้ฮว่าเสวียนเจิ้งเห็นภาพที่ข้าวาดลงสีไว้สวยสด นกกระทาในภาพยังไม่ได้ตัดเส้นให้เรียบร้อย ส่วนที่เป็นขนนกใช้หมึกไล่สีอ่อนแก่และจุดสีน้ำตาลแต่งแต้มเอา ต่างจากภาพของสกุลหวงที่หอภาพยึดเป็นมาตรฐานอย่างใหญ่หลวง สีหน้าเขาก็เคร่งเครียดลงทันที หันไปถามชุยไป๋เสียงเย็นชา

“เจ้าหรือที่สอนเขาวาดภาพนี้”

ชุยไป๋พยักหน้า กล่าวอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ

“วาดทวิบาทไม่จำเป็นต้องตัดเส้นแล้วจึงลงสีเสมอไป บางครั้งผสมหมึกจางๆ เข้าไปแต่งแต้มโดยไม่มีกรอบโครง ก็มีเสน่ห์ของความดิบเถื่อนอยู่”

ฮว่าเสวียนเจิ้งตบโต๊ะปัง ขึ้นเสียง

“ชักจูงผู้คนให้เหลวไหลไปผิดทาง!”

ชุยไป๋ไม่หวาดหวั่นไม่เดือดดาล เพียงค้อมกายให้เขาอย่างนอบน้อม ยืนอยู่อย่างนั้นด้วยท่าทางสุภาพเชื่อฟัง

ฮว่าเสวียเจิ้งข่มกลั้นเพลิงโทสะ หันมากล่าวกับข้า

“หากจงกุ้ยเหรินต้องการวาดภาพ ในหอภาพย่อมมีไต้จ้าว มีอี้เสวียให้ท่านเชื้อเชิญมาสอนได้ ยามเริ่มต้นควรระมัดระวังเลือกอาจารย์ที่ดี อย่าได้ถูกคนไร้ความรู้ชี้นำไปทางผิด”

ข้าพลอยโค้งให้เขา รับฟังด้วยท่าทางเคารพนับถือ ฮว่าเสวียเจิ้งถลึงจ้องชุยไปอย่างดุเดือดอีกแวบหนึ่ง ก่อนสะบัดแขนเสื้อก้าวออกจากประตู

รอจนเขาจากไปไกลแล้ว ชุยไป๋จึงหันมามองข้า จงใจปั้นหน้าเป็นจริงเป็นจัง

“จงกุ้ยเหรินไปเลือกอาจารย์ดีงามท่านอื่นเถิด อย่าได้เดินทางผิดตามคนไร้ความรู้อย่างข้า”

คำตอบของข้าคือ

“หากทางที่คุณชายชุยนำข้าไปเป็นทางที่ผิด อย่างนั้นชีวิตนี้ข้าไม่ต้องการเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องอีกแล้ว”

พวกเราสบตาหัวเราะแก่กัน นับจากนั้นยิ่งสนิทสนมกว่าเดิม และด้วยข้อเสนอของเขา พวกเราจึงเลิกเรียกหากันอย่างเกรงอกเกรงใจ เขาเรียกข้าด้วยชื่อ ข้าก็เรียกเขาตามชื่อรองว่า ‘จื่อซี’

 

ฮว่าเสวียเจิ้งยิ่งชิงชังรังเกียจชุยไป๋หนักขึ้น วิจารณ์ผลงานเขาในแง่ลบกับเพื่อนร่วมงานหลายต่อหลายครั้ง ชุยไป๋จึงโดนทางหอภาพบีบ ทุกครั้งที่ส่งงานไป ภาพของเขาจะถูกวิจารณ์ว่าย่ำแย่ ไม่เคยมีโอกาสได้ถวายให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตร

แต่ชุยไป๋ไม่แยแส ยังคงวาดภาพไปตามแนวทางของตัว ไม่เคยเก็บเอาคำสอนของขุนนางในหอภาพมาใส่ใจ ทุกครั้งที่มีเรียน ถ้าเขาไม่หายไปเลยก็ต้องมาสาย หรือต่อให้นั่งอยู่ในห้องก็ไม่สนใจจะฟัง มักเหม่อมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างใจลอย หรือไม่ก็ฟุบงีบกับโต๊ะ ขุนนางประจำหอภาพสอนจบค่อยเหยียดแขนหาวหวอด ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เดินทอดน่องออกไปท่ามกลางสายตาขุนเคืองของผู้สอน

มีครั้งหนึ่งบังเอิญฮว่าเสวียเจิ้งเป็นผู้สอน หัวข้อคือศิลปะการวาดภาพด้วยหมึก เมื่อสอนจบ ฮว่าเสวียเจิ้งก็หยิบภาพเลียนแบบที่ร่างโครงเรียบร้อยแล้วขึ้นมา สะบัดพู่กันแต่งแต้ม วาดเป็นภาพดอกบัวในฤดูใบไม้ร่วงโดยใช้เพียงหมึกและน้ำ เมื่อหมึกหมาดลงก็แขวนไว้บนผนัง ให้เหล่านักเรียนวิเคราะห์วิจารณ์กัน

ซึ่งนั่นก็เป็นภาพที่ดีอย่างยิ่งจริงๆ ดอกบัวเดือนสารทอ่อนช้อยสวยสง่า แม้จะใช้แค่หมึก แต่วาดจนเห็นฝักบัวใบบัวสะท้อนบนผิวทะเลสาบ เห็นเมฆฉ่ำฝนเคลื่อนคล้อย เหล่านักเรียนย่อมชมเชยไม่ขาดปาก พากันยกพู่กันเริ่มต้นเลียนแบบ

ฮว่าเสวียเจิ้งลูบเครา กวาดตามองคนทั้งหลายด้วยสีหน้าภาคภูมิ ไม่นึกว่าจังหวะนั้นพลันเหลือบไปเห็นชุยไป๋ที่ไม่ใส่ใจโดยสิ้นเชิง ฝ่ายนั้นนั่งอยู่มุมห้องแถวหลังสุด ซ้ำยังฟุบกับโต๊ะท่าทางเหมือนกำลังหลับสบาย

รอยยิ้มของฮว่าเสวียเจิ้งหายวับไปทันที ชักสีหน้าเคร่งเครียดเรียก

“ชุยไป๋!”

ชุยไป๋คล้ายกำลังหลับสนิท ไม่มีทีท่าจะตื่น ฮว่าเสวียเจิ้งตวาดเรียกอีกรอบ เขาก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ข้าเห็นบรรยากาศกระอักกระอ่วนยิ่ง ก็เดินเข้าไปหา ก้มลงเรียกเบาๆ

“จื่อซี”

เขาจึงได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อยๆ ลืมตาตื่นมามองข้า ก่อนจะหันไปจ้องฮว่าเสวียเจิ้งอย่างเลอะเลือนงุนงงอีกครู่หนึ่ง คลี่ยิ้มกล่าว

“ใต้เท้าสอนจบแล้วหรือ”

“จบแล้ว” ฮว่าเสวียเจิ้งเอ่ยอย่างขุ่นเคืองเย็นชา “แต่คงอธิบายได้แห้งแล้งจืดชืด ยากยิ่งจะรับฟังเข้าหู จึงทำให้ผู้คนหลับใหล”

ชุยไป๋แย้มยิ้มกล่าว

“มิได้ ระหว่างใต้เท้าอธิบายข้าฟังอยู่ตลอด เพียงแต่ตอนใต้เท้าวาดภาพ เหล่านักเรียนล้วนมุงดูอยู่ด้านข้าง ข้าอยู่ห่างออกมา เห็นอยู่ว่าเบียดเข้าไปไม่ไหว ดังนั้นจึงงีบพักชั่วครู่ รอจนใต้เท้าวาดเสร็จแล้วจึงค่อยชมดูให้ละเอียด”

“อย่างนั้นหรือ” ฮว่าเสวียเจิ้งปรายตา ไม่ยอมมองหน้าเขาตรงๆ อีก ทำแค่ขยับวาดสองมือไพล่หลัง มองท้องฟ้าสีครามนอกหน้าต่าง กล่าว “อย่างนั้นในสายตาเจ้า ภาพของข้าเป็นอย่างไร”

ชุยไป๋ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม พิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน หันไปมองภาพดอกบัวฤดูใบไม้ร่วงบนผนังครู่หนึ่ง ก่อนผงกศีรษะกล่าว

“ดีอย่างยิ่ง... เพียงแต่ยังขาดไปขีดหนึ่ง”

ฮว่าเสวียเจิ้งอดประหลาดใจมิได้ ถามทันที

“ขีดหนึ่งที่ใด”

ริมฝีปากชุยไป๋ขยับยก

“ตรงนี้” จังหวะนั้นมือเขาคว้าพู่กันชุ่มหมึกบนโต๊ะ ปราดเข้าหาภาพวาด รอจนวาจาหลุดจากปาก พู่กันเล่มนั้นก็แตะถูกภาพ ลากเฉียงๆ ใต้ภาพดอกบัวฤดูสารทเป็นรอยหมึกเส้นหนึ่ง

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันยิ่งนัก เหล่านักเรียนล้วนอุทานอย่างแตกตื่น หันกลับมามองชุยไป๋ จากนั้นหันไปมองฮว่าเสวียเจิ้ง สังเกตสีหน้าเขาอย่างระมัดระวัง

ฮว่าเสวียเจิ้งขุ่นแค้นจนพูดไม่ออก ชี้หน้าชุยไป๋ตัวสั่น

“เจ้า... เจ้า...”

“โอ! ศิษย์ไม่ทันระวัง หยิบพลาดเป็นพู่กันที่แต้มหมึก ใต้เท้าโปรดอภัย” ชุยไป๋ทางหนึ่งยอมรับผิด ทางหนึ่งจัดแขนเสื้อยืนตรง ก้าวเข้าหาฮว่าเสวียเจิ้ง ค้อมกายขออภัยอย่างสง่างามอีกรอบ

ฮว่าเสวียเจิ้งใบหน้าซีดขาว หมุนตัวอย่างขุนแค้น ยกมือทำท่าจะกระชากภาพบนผนังมาฉีกทิ้ง

ชุยไปกลับกางแขนออกขวางไว้ แย้มยิ้มกล่าว

“ใต้เท้าโปรดระงับโทสะ ภาพนี้วาดได้ยอดเยี่ยมเลิศล้ำยิ่งนัก จะทำลายเพราะลายพู่กันขีดเดียวออกจะน่าเสียดาย ในเมื่อศิษย์กระทำผิดพลาด ย่อมต้องมีวิธีมาแก้ไข”

นักเรียนอีกคนหนึ่งสอดปากถาม

“ภาพถูกหมึกแต้มสกปรกไปแล้ว จะแก้ไขอย่างไร”

ชุยไป๋จัดภาพให้แขวนไว้มั่นคงดีแล้ว จึงพิจารณาอย่างละเอียด กล่าวว่า

“ในเมื่อภาพเปื้อนสกปรก ใต้เท้าไม่ต้องการมันอีกแล้ว คงไม่ถือสาหากข้าจะลงพู่กันเพิ่มกระมัง”

ไม่รอให้ฮว่าเสวียเจิ้งอนุญาต เขาก็เลือกพู่กันจากโต๊ะตัวเองไม่รีบไม่ร้อน แตะน้ำหมึกในแท่นฝนหมึก มือซ้ายไพล่หลัง มือขวาจรดพู่กัน เริ่มลงมือจากรอยหมึกขีดนั้น บ้างแต้ม ลาก หยุด สะบัด บ้างตวัด กรีด ย้ำ ปาด ผสมน้ำในหมึก ไม่นาน ห่านขาวที่กำลังก้มศีรษะไซ้ขนตัวหนึ่งก็ปรากฏกายใต้กอบัวราวกับมีชีวิต รอยหมึกที่เขาขีดพลาดกลายเป็นจะงอยปาก ฝีพู่กันแนบเนียนเป็นธรรมชาติ ดูไม่ออกเลยว่าวาดเพื่อซ่อมรอยเปื้อน

เมื่อวาดเสร็จสิ้น ชุยไป๋ก็วางพู่กันล่าถอย แย้มยิ้มขอให้ฮว่าเสวียเจิ้งวิจารณ์ คนทั้งหลายเพ่งพิศพิจารณา เห็นเขาแม้วาดแค่ห่านตัวหนึ่ง แต่น้ำหนักหมึกมีข้น เข้ม หนัก จาง บางเบา ห้าระดับครบถ้วน ทั้งลายเส้นยังนุ่มนวลลื่นไหล ราวจะเคลื่อนไหวแต่ไม่วุ่นวาย ทักษะการใช้หมึกคล้ายดั่งเหนือกว่าฮว่าเสวียเจิ้งด้วยซ้ำ ท่าทางห่านตัวนั้นสูงส่งสง่า ให้ความรู้สึกเหมือนจะหลุดออกมาจากกระดาษ เทียบกันแล้ว ดอกบัวเดือนสารทที่ฮว่าเสวียเจิ้งวาดอยู่เมื่อครู่ดูหมดราศีไปทันที กลายเป็นให้ความรู้สึกทึมทึบถ่วงหนักแทน

มิหนำซ้ำชุยไป๋ยังไม่ได้ร่างภาพไว้ก่อน แต่ลงพู่กันวาดเลย ย่อมเหนือล้ำกว่าฮว่าเสวียเจิ้งขั้นหนึ่ง คนผู้หนึ่งหลุดปากร้องว่ายอดเยี่ยม ร้องไปแล้วจึงนึกถึงฮว่าเสวียเจิ้งขึ้นมาได้ ก็ลนลานหุบปาก แต่สายตายังคงฉายแววนับถือ

ฮว่าเสวียเจิ้งเดินเข้าไปพิจารณาดู จากนั้นซึมเซาราวตอไม้อยู่เนิ่นนาน จึงค่อยหันกลับมามองชุยไป๋ วิจารณ์ว่า

“น้ำหนักหมึกใช้ได้ แต่เติมห่านตัวหนึ่งที่ตรงนี้ ทำให้ช่วงบนของภาพแออัด ช่วงล่างกลับเว้นขาวมากเกินไป ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์”

“ถูกแล้ว ถูกแล้ว” ชุยไป๋สนับสนุนทันที กวาดมองฮว่าเสวียเจิ้ง แย้มยิ้มกล่าว “ข้าเองก็รู้สึกตำแหน่งของห่านตัวนี้อยู่สูงเกินไป ควรลากลงมาเสียบ้างจึงจะดี”

ดูจากท่าทางเขา ทุกคนก็ทราบว่าเขากำลังเสียดสีเย้ยหยันฮว่าเสวียเจิ้ง ล้วนอดมิได้ต้องกลั้นหัวเราะไว้ ทรวงอกฮว่าเสวียเจิ้งสะท้อนขึ้นลง เหมือนพร้อมจะหมดสติตลอดเวลา และอาจเพราะอยู่ต่อหน้านักเรียนทั้งหลายไม่สะดวกจะอาละวาด สุดท้ายจึงได้แต่สะบัดแขนเสื้อชี้ประตู กล่าวกับชุยไป๋

“ออกไป!”

ชุยไป๋โค้งให้ฮว่าเสวียเจิ้งอีกรอบชนิดไม่ขาดตกบกพร่องเรื่องมารยาท สาวเท้าออกจากประตู รอยยิ้มบางเบาที่แต่งแต้มบนริมฝีปากยังไม่เลือนหาย เขาก้าวเดินอย่างปลอดโปร่ง เชื่อมั่นในตนเองอย่างยิ่ง

ข้าค่อยๆ ขยับตัว ใช้สายตามองส่งเขาเดินออกไป ความสะใจที่พฤติกรรมอุกอาจของเขานำมาให้ ไม่ได้กลบความเสียดายในใจ ข้ารู้สึกอยู่รำไร ว่าวันที่เขาจะต้องออกจากหอภาพกำลังคืบคลานใกล้เข้ามา

 

4. ประมุขฝ่ายใน

 

ราวหนึ่งเดือนหลังจากนั้น หอภาพพลันได้รับพระเสาวนีย์จากฮองเฮา ให้ส่งภาพเหมือนบุคคลซึ่งเป็นผลงานของขุนนางและนักเรียนเข้าตำหนักโหรวอี๋ ถวายต่อฮองเฮา ตอนนั้นใกล้เข้าช่วงโพล้เพล้เต็มที เหล่าไต้จ้าวและนักเรียนล้วนไม่กล้าชักช้า รีบหยิบฉวยเอาผลงานที่ตนเองพอใจที่สุด ตระเตรียมส่งไปตำหนักฮองเฮา

วันนั้นเดิมทีไม่มีเรื่องราวใด ขันทีคนอื่นๆ ในหอภาพกลับไปพักผ่อนกันแล้ว เหลือข้าอยู่โยงผู้เดียว พระเสาวนีย์ก็มีมากะทันหัน ดังนั้นหลังจากทำงานที่หอภาพมาได้ปีกว่า ข้าก็ได้ทำหน้าที่ส่งภาพเข้าไปยังฝ่ายในเป็นครั้งแรก หากเป็นยามปกติ ภารกิจนี้ไม่มีทางเวียนมาถึงข้า

และนี่เป็นโอกาสครั้งแรกเช่นกันหลังจากเข้าวังมาหลายปี ที่ข้าจะได้ออกจากฝ่ายหน้าเข้าไปยังฝ่ายในซึ่งเป็นที่อยู่ของเหล่าพระสนม หอภาพสำนักฮั่นหลินตั้งอยู่นอกประตูโย่วเยี่ย ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเขตพระราชวัง ภายใต้การนำทางของสำนักกิจการฝ่ายในที่มาถ่ายทอดพระเสาวนีย์ ข้าประคองม้วนภาพ เริ่มต้นเดินทางเข้าประตูโย่วเยี่ย ประตูโย่วฉางชิ่ง ประตูโย่วเจียซู่ ประตูโย่วหยินไถ ผ่านสำนักเหมินเซี่ยเสิ่ง (หมายเหตุ: สำนักราชการใหญ่ซึ่งมีหน้าที่คอยตรวจสอบราชโองการ คำสั่งทางราชการ และเป็นที่ปรึกษาฮ่องเต้) สภาซูมี่ย่วน (หมายเหตุ: หน่วยงานราชการที่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง ขอบข่ายงานแตกต่างกันไปตามยุคสมัย แต่โดยหลักแล้วคอยดูแลด้านการทหาร) สำนักเหมินเซี่ยเสิ่งประจำฝ่ายใน หอจดหมายเหตุ จากนั้นเข้าประตูหวงอี๋ ผ่านประตูฉุยก่ง เข้าสู่ฝ่ายใน อ้อมตำหนักฉุยก่งและตำหนักฝูหนิง จึงค่อยมาถึงตำหนักโหรวอี๋ ที่ประทับของฮองเฮา

ตอนนั้นท้องฟ้ากลายเป็นสีของยามสนธยาทั้งแผ่นผืน แต่ฮองเฮาไม่อยู่ในตำหนัก จากคำบอกเล่าของนางกำนัลประจำตำหนักโหรวอี๋ ฮองเฮาเสด็จไปหาฝ่าบาทที่ตำหนักฝูหนิง ไม่ทราบเมื่อใดจึงจะกลับมา ข้าขอให้ขันทีของสำนักกิจการฝ่ายในส่งภาพเข้าไปในตำหนัก และเนื่องเพราะต้องสนองพระเสาวนีย์ฮองเฮา ข้าจึงไม่กล้าจากไปไหน ก็ยืนรออยู่นอกตำหนักนั่นเอง

การรอคอยครั้งนี้ยาวนานสองชั่วยาม ในที่สุดฮองเฮาก็กลับมา ข้าคุกเข่าถวายพระพร พอเห็นคนไม่คุ้นหน้าอย่างข้า นางก็ชะงักเท้า นางกำนัลคนสนิทแนะนำตัวให้ข้า นางจึงนึกขึ้นได้ ก็ผงกศีรษะ หลังจากเข้าตำหนักไปได้ไม่นาน ก็สั่งคนมาเบิกตัวข้าตามเข้าไป

ฮองเฮาจากสกุลเฉานั่งตัวตรงอยู่กลางตำหนัก นางสวมอาภรณ์ลำลอง แขนเสื้อหลวมกว้างตามแบบฉบับประมุขฝ่ายใน ชายแขนเสื้อและด้านในปกเสื้อย้อมสี มีขอบเสื้อชั้นกลางเนื้อโปร่งบางสีแดงอมเหลืองโผล่มาให้เห็นรำไร กระโปรงยาวสีแดงทิ้งตัวอย่างอ่อนช้อยนุ่นวล ไม่มีรอยยับย่นส่วนเกินแม้แต่ริ้วเดียว ผ้าคล้องแขนบางใสพื้นขาวมีลวดลายสีเหลืองทอดตัวยาวระพื้นอย่างเงียบงัน ยิ่งขับเน้นให้บุคลิกของนางดูสงบสุขุม อ่อนโยนกว่าเดิม

หลังจากถวายคำนับต่อนางอีกรอบ ข้าก็ฉวยโอกาสช่วงพริบตาที่ยืนขึ้น กวาดตาผ่านใบหน้านางแวบหนึ่ง พฤติการณ์อุกอาจนี้มาจากความอยากเห็นรูปโฉมมารดาแห่งแผ่นดินของข้าเอง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องลอบมอบในเวลากระชั้นสั้นที่สุด มิให้ผู้คนสังเกตเห็น

ผิวของนางใสกระจ่างราวกับหยก คิ้วจางเป็นสีมัว บุคลิกสูงส่งสง่างาม สองตาหรุบลงครึ่งๆ คล้ายกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ หว่างคิ้วก็มีร่องรอยกังวลอยู่รำไร

ขันทีในตำหนักคลี่ภาพเหมือนทุกม้วนขึ้นแขวน ฮองเฮาลุกขึ้นอย่างเยือกเย็น เยื้องย่างพิจารณาไปทีละภาพ ผ่านไปเนิ่นนาน นางชมดูครบทุกภาพโดยไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไร แต่หันกลับมาถามข้า

“ผลงานภาพเหมือนชั้นเลิศของหอภาพล้วนอยู่ที่นี่หมดแล้วหรือ”

ข้าตอบรับว่าใช่ นางชมดูอีกรอบ คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ ก็ถามอีก

“ในบรรดานี้มีผลงานของนักเรียนที่ชื่อชุยไป๋หรือไม่”

ข้าตอบไปว่าไม่มี นางแย้มยิ้มเล็กน้อย

“ข้าก็คิดว่าคงไม่มี ได้ยินว่าฝีมือเขาย่ำแย่อย่างยิ่ง ไม่คิดจะพัฒนา ทั้งยังโอหังบังอาจ ถึงขั้นไม่เห็นเหล่าขุนนางในหอภาพอยู่ในสายตา... แต่นี่กลับประหลาดแล้ว คนที่ไม่มีอะไรดีเลยเยี่ยงนี้สอบเข้าหอภาพสำนักฮั่นหลินมาได้อย่างไร”

ข้าลังเลเล็กน้อย แต่ยังคงตอบนางไปตามความจริง

“ตั้งแต่ราชสำนักเปิดหอภาพเป็นต้นมา ทุกผู้คนล้วนยกย่องนับถือรูปแบบภาพวาดของหวงเฉวียน หวงจวีไฉ่พ่อลูก ทุกครั้งที่ส่งงาน จะใช้มาตรฐานของจิตรกรสกุลหวงตัดสินว่าดีงามหรือย่ำแย่ ชุยไป๋มีพื้นฐานล้ำเลิศยิ่งนัก หากพูดถึงรายละเอียดการตัดเส้น นับว่ามิใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย ดังนั้นจึงสอบเข้ามาในหอภาพได้อย่างราบรื่น แต่นิสัยเขาปล่อยตัวไม่ยึดติด คล้ายไม่ได้นิยมความละเอียดเรียบร้อยตามแบบศิลปะสกุลหวงเท่าใด กลับชมชอบความปลอดโปร่งทำตามอำเภอใจของสวีซีมากกว่า ยามปกติจึงรักจะวาดภาพทิวทัศน์สิ่งของ พบเห็นทิวทัศน์น่าสนใจเมื่อใด ก็วาดบันทึกลงไป มีกลิ่นอายของสวีซีเต็มเปี่ยม หลังจากเข้ามาในหอภาพ ยามวาดบุปผา ต้นไผ่ ขนนก ก็ไม่แน่ว่าจะต้องใช้การตัดเส้นแล้วค่อยลงสีเสมอไป เขามักหยิบยืมวิธีลงหมึกของสวีซี หรือไม่ก็การวาดภาพแบบไม่ขึ้นโครงก่อนของสวีฉงซื่อมาใช้ ในภาพเดียวจึงมักมีทั้งส่วนที่ละเอียดเรียบร้อย และฝีแปรงหยาบๆ ปนกัน แต่ลงสีได้งดงามชัดเจน ฝีมือเฉียบขาด ทั้งมีความดิบเถื่อนน่าสนใจ แต่ยามส่งผลงาน ภาพวาดรูปแบบนี้ไม่มีทางได้รับการยอมรับจากขุนนางในหอภาพ คุณชายชุยจึงมักถูกมองข้าม ยากยิ่งจะได้รับคำวิจารณ์ที่ดี”

ฮองเฮาผงกศีรษะ กล่าวอีกว่า

“เขารู้ดีอยู่ว่าแนวทางภาพไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน แต่ยังคงยืนกรานจะวาดเช่นนี้ต่อไปหรือ”

ข้าตอบรับ

“กระหม่อม เรื่องที่เขาปักใจ จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอย่างง่ายดายเพราะผู้อื่น"

ฮองเฮาแย้มยิ้มบางเบา

“นับเป็นคนหัวรั้นผู้หนึ่ง แต่เขาสอบเข้าหอภาพมาได้ก็มิใช่เรื่องง่ายดาย มาโอหังบังอาจเช่นนี้ หรือไม่กลัวจะถูกขับไล่ออกไป”

ข้าทราบแน่ว่าต้องมีคนมากราบทูลว่าร้ายชุยไป๋ต่อฮองเฮา จึงลังเลว่าควรอธิบายนิสัยใจคอของชุยไป๋ให้นางฟังหรือไม่ แต่น้ำเสียงนุ่มนวลของฮองเฮาทำให้ข้าบังเกิดความรู้สึกที่ดีต่อนาง ซ้ำนางยังมองข้าด้วยสายตาสุภาพอ่อนโยน รอคอยคำตอบของข้า และนั่นทำให้ข้ากล้าพูดอย่างตรงไปตรงมา

“การสอบเข้าหอภาพเป็นความมุ่งหวังก่อนตายของบิดาคุณชายชุย ดังนั้นเขาจึงปฏิบัติตามคำสั่งเสีย แต่การขังตัวเองอยู่ในหอภาพ ศึกษาแค่ผลงานของจิตรกรสกุลหวงมิใช่ความปรารถนาของเขา... ซ้ำนิสัยเขาก็ไม่เข้ากับวิถีชีวิตในหอภาพ ดังนั้นการถูกขับออกจากหอภาพจึงมิใช่เรื่องที่เขาหวาดกลัว”

ฮองเฮาครุ่นคิด ครู่เดียวก็สั่ง

“อีกสองวัน ส่งผลงานบางส่วนของชุยไป๋มาที่นี่”

ข้ารับพระเสาวนีย์ทันที นางมองข้าอย่างพิจารณาอีกรอบ ถามว่า

“เจ้าอายุเท่าใดแล้ว เคยเรียนวาดภาพมาเหมือนกันหรือ”

ข้าค้อมกายตอบไป

“กระหม่อมปีนี้อายุสิบสาม ไม่เคยเรียนวาดภาพ เพียงแต่ได้คุณชายชุยช่วยชี้แนะ จึงเคยแตะพู่กันมาบ้าง”

“เจ้า... ชื่ออะไร” นางถามต่อไป

“เหลียงไหวจี๋กระหม่อม” ข้าตอบ ครั้งนี้ไม่อธิบายอะไรเกี่ยวกับชื่อตัวเองเพิ่มอีกแล้ว

“อ้อ ข้าจำเจ้าได้” ฮองเฮายิ้มเล็กน้อย “ชื่อเดิมของเจ้าคือเหลียงหยวนเฮิงกระมัง ชื่อตอนนี้คงเป็นผิงฝู่เปลี่ยนให้”

ผิงฝู่คือชื่อรองของจางเม่าเจ๋อเซียนเซิงแห่งประตูตะวันออกชั้นใน ชื่อที่ฮองเฮาใช้เรียกเขาทำให้ข้าประหลาดใจเล็กน้อย และพลอยรู้สึกยินดีโดยไม่มีเหตุผล ข้าเห็นจางเซียนเซิงเป็นเหมือนอาจารย์ เหมือนบิดา แม้หลายปีนี้พวกเรามีโอกาสพบหน้ากันไม่มาก แต่ข้ารักเคารพเขาที่สุด ฮองเฮายกเรื่องเปลี่ยนชื่อมาพูด ก็ทำให้ข้าจำได้เหมือนกันว่านางเคยแผ่พระคุณต่อข้า ดังนั้นจึงคุกเข่าลง โขกศีรษะขอบพระทัยที่เคยช่วยชีวิตไว้ครั้งก่อน

นางส่งเสียงนุ่มนวลบอกให้ข้าลุกขึ้น ทั้งยังประทานพู่กันลี่เหว่ยทำจากขนมุสิกและหมึกหอมแท่งใหม่ให้ข้า ความเมตตาที่ได้รับทำข้าแทบลนลาน เนื่องเพราะของที่นางประทานให้มิใช่แพรพรรณผ้าไหมอย่างที่มักประทานต่อขันที แต่เป็นพู่กันเป็นหมึกที่ใช้วาดภาพเขียนหนังสือได้

นางหันกลับไปสำรวจม้วนภาพเหมือนอีกครั้ง ชี้ถามตัวจิตรกรจากข้าหลายภาพ สั่งให้คนจดเอาไว้ จากนั้นให้ข้านำภาพที่เหลือกลับไป ข้ารับคำสั่งแล้วล่าถอย ติดตามขันทีสำนักกิจการฝ่ายในออกจากตำหนักโหรวอี๋ ขันทีฝ่ายในชี้่บอกทางกลับให้ข้า จากนั้นก็ปิดประตูกลับเข้าไป

ทั้งเขาและข้าล้วนประเมินความสามารถในการจดจำทิศทางของข้าสูงเกิน ซ้ำข้ายังนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ตลอดเวลา เดินใจลอยอยู่เนิ่นนานจึงเพิ่งรู้ตัว ว่ารอบข้างล้วนเป็นสถานที่ซึ่งข้าไม่รู้จักทั้งสิ้น ข้าหลงทางอยู่ในวังหลวงกว้างใหญ่ยามค่ำคืนเสียแล้ว

ข้าหยุดมองไปรอบๆ ทุกหนแห่งล้วนเงียบเหงาวังเวง ไม่เห็นเงาผู้คน มีเพียงน้ำใสในสระเบื้องหน้าที่สะท้อนประกายจางๆ อยู่ใต้แสงจันทร์ เงาต้นหลิวริมสระโบกพลิ้ว สะบัดปลิวในสายลมราวกำลังร่ายรำ ข้าชมดูจนความตระหนกเริ่มก่อเกิดในใจ นึกออกอยู่รำไรว่าตัวเองคงอยู่ในอุทยานฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของวังหลวง ดังนั้นเงยหน้ามองฟ้า อาศัยดวงดาวจำแนกทิศทาง เสาะหาประตูมุ่งหน้าสู่ทิศใต้ จากนั้นเร่งฝีเท้าไปทันที

เพิ่งเดินถึงระเบียงประตูทิศใต้ เงาร่างสายหนึ่งพลันถลันจากด้านนอกเข้ามา เฉียดผ่านข้างกายข้าไป ข้าตระหนกยิ่งนัก หันกลับไปดู เห็นเงาร่างนั้นแน่งน้อยแบบบาง คล้ายดั่งเป็นเด็กหญิงที่ยังไม่เติบใหญ่สมบูรณ์ วิ่งฝ่าสายลมเย็นเยียบยามราตรีเข้าหาสระเหยาจินในอุทยาน บนร่างนางมีเพียงเสื้อชั้นกลางสีขาวสะอาดและกระโปรงยาวสีเดียวกัน ผมยาวสยายทิ้งตัวลงถึงช่วงเอว เมื่อต้องแสงจันทร์ ก็สะท้อนเป็นสีน้ำเงินเยือกเย็น

นางยกชายกระโปรงยาววิ่งตะบึงไป ยามกระโปรงสะบัดพลิ้วจึงมองเห็นว่านางไม่ได้สวมถุงเท้ารองเท้า ถึงกับวิ่งด้วยเท้าเปล่าเปลือย นั่นทำให้ข้ารู้ว่านางเป็นคน มิใช่ปีศาจจำแลง ความหวาดกลัวในตอนแรกจึงลดทอน ข้าวกกลับไปเงียบๆ ซ่อนตัวอยู่ในหมู่ไม้ริมสระ ดูว่านางต้องการทำอะไร

นางคุกเข่าลงข้างหินใหญ่ริมสระ คุกเข่าสามครั้งโขกศีรษะเก้าครั้งต่อดวงจันทร์กระจ่าง จากมุมที่ข้าอยู่ จะเห็นเสี้ยวหน้าของนางได้ชัดเจน นางคงอายุราวเจ็ดแปดขวบ รูปโฉมงดงาม คิ้วคางหน้าตาพิลาศล้ำ

กราบกรานเสร็จสิ้น นางก็เงยหน้ามองฟ้า ขมวดคิ้วร่ำไห้ น้ำตาใสสะอาดราวน้ำค้างร่วงลงมาตามใบหน้า

“ท่านพ่อล้มป่วยแล้ว ฮุยโหรวไม่มีปัญญาแก้ไขไม่ให้ท่านพ่อเจ็บปวด ได้แต่วิงวอนให้สวรรค์เมตตา ให้ฮุยโหรวได้เป็นตัวแทนบิดา รับเอาโรคภัย แบ่งเอาความเจ็บป่วยทั้งปวงของท่านพ่อมา หวังเพียงเทพยดาอันศักดิ์สิทธิ์ประทานพร หากท่านพ่อแข็งแรงดังเดิม ฮุยโหรวแม้ต้องสละชีวิตก็ไม่เสียดาย...”

นางทั้งร่ำไห้ทั้งวิงวอน แสดงความตั้งใจต่อสวรรค์จะขอเป็นตัวแทนของบิดาเองครั้งแล้วครั้งเล่า ข้านิ่งฟังอยู่ด้านข้าง ค่อยๆ เริ่มบังเกิดความเห็นใจขึ้นมา ฉากตรงหน้านี้ทำให้ข้านึกถึงเรื่องราวในอดีตเรื่องหนึ่ง

บิดาข้าร่างกายอ่อนแอเสมอมา ภายหลังยิ่งล้มป่วยอาการหนัก มักไอทั้งวันทั้งคืน ทุกค่ำยามเข้านอนข้าจะได้ยินเสียงไอของเขาลอดผ่านกำแพง ตอนนั้นยังเยาว์วัยไม่รู้ความ เห็นว่าเสียงนี้น่ารำคาญยิ่งนัก ทุกครั้งที่ถูกเสียงไอรบกวนจนหลับไม่ลงก็มักจะครุ่นคิด หากมีวันหนึ่งเขาเงียบเสียงไปได้จะดีสักเท่าใด

และคืนเช่นนั้นก็มาถึงจริงๆ ในที่สุดข้าก็ไม่ได้ยินเสียงไอของเขาอีกแล้ว คืนนั้นข้าหลับสบายหาใดเปรียบ เมื่อตื่นขึ้นรุ่งเช้าถัดมา พอลืมตาก็เห็นมารดาร่ำไห้ใบหน้าซีดขาว นางจ้องมองข้าแน่วนิ่ง บอกกับข้าอย่างสงบ

‘เสี่ยวหยวน ท่านพ่อเจ้าไปแล้ว’

ที่แท้ฟ้าถล่มก็เป็นเช่นนี้เอง ทุกประการล้วนเปลี่ยนไป

นับแต่นั้นจนวันนี้ ข้าเหยียดหยามหมิ่นแคลนความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อบิดาตอนป่วยไข้ และสำนึกเสียใจยิ่งนัก หากเวลาสามารถไหลย้อนทวนกลับ ข้าจะต้องทำเช่นเดียวกับแม่นางน้อยนี้ เปลือยเท้าร้องขอต่อสวรรค์ อธิษฐานอย่างจริงใจ หวังให้ตนเองสามารถไปแทนที่บิดาได้

ข้าครุ่นคิดจนเคลิบเคลิ้มเลื่อนลอย ใบไม้เหนือศีรษะร่วงลงมา เฉียดผ่านใบหน้าข้า ข้าตื่นตระหนกเล็กน้อย มือสั่น ภาพวาดม้วนหนึ่งร่วงลงกับพื้น

พอได้ยินเสียงดัง แม่นางน้อยนั้นก็ตกใจหันกลับมา ข้าก้มเก็บภาพวาด ก้าวออกไปปรากฏตัวตรงหน้านาง สบตากับนาง ยามกะทันหันล้วนไม่มีผู้ใดกล่าววาจา

ข้าไม่ทราบว่านางคือผู้ใด พระสนมในวังมีธรรมเนียมรับบุตรผู้มีตระกูลมาเลี้ยงเป็นธิดาบุญธรรม หรืออาจให้ขันทีฝ่ายในไปหาพ่อค้า ซื้อตัวเด็กหญิงเล็กๆ จากตระกูลยากจนมาไว้เป็นคนสนิท และยังมีนางกำนัลที่ฝ่ายในเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย เด็กสาวเช่นนางในวังมีไม่น้อย นอกจากได้ยินนางเรียกตัวเองว่าฮุยโหรวแล้ว ข้าไม่ทราบศักดิ์ฐานะของนาง เพียงรู้สึกไม่ทราบควรกล่าววาจากับนางอย่างไร แม้ข้าจะต้องการบอกนางอย่างยิ่ง ว่าข้าอธิษฐานจากใจ ขอให้บิดานางหายป่วยในเร็ววัน

“เจ้าเป็นใคร”​ นางถาม

ขณะที่ข้ากำลังจะตอบ กลับเห็นประตูทิศใต้ของอุทยานมีคนถือโคมเดินเข้ามา ฮุยโหรวเห็นเข้าก็หันกายวิ่งไปทางประตูอีกบานทันที คาดว่าคงไม่ต้องการให้ผู้อื่นพบเห็นนาง

แต่เมื่อนางออกวิ่ง กลับยิ่งกระตุ้นให้คนผู้นั้นแตกตื่น นางเป็นสตรีเยาว์วัยที่แต่งกายอย่างนางใน ถือโคมไล่ตามทันที ปากก็ร้องดังๆ

“ผู้ใด หยุด!”

เงาดำใต้ร่มไม้บดบังข้าไว้ ดังนั้นนางจึงไม่ทันสังเกตเห็น ข้ามองเงาร่างสองสายหายลับไปทางตะวันออกของอุทยาน ก่อนจะอาศัยดวงดาวบอกทิศ วกกลับไปยังที่พักตามเส้นทางเดิมอีกครั้ง

 

5. ฮุยโหรว

 

สองวันถัดมา ข้าก็กระทำตามพระเสาวนีย์ฮองเฮา นำภาพวาดของชุยไป๋หลายม้วนไปให้นางชมดูที่ตำหนักโหรวอี๋ ฮองเฮากำลังสนทนากลับจางเหวยจี๋ ตูจือ (หัวหน้าขันที) ประจำสำนักกิจการฝ่ายใน พอเห็นข้านำภาพเข้าไป ก็สั่งให้คนคลี่กางออก วิพากษ์วิจารณ์ร่วมกับจางเหวยจี๋

ภาพเหล่านั้นล้วนเป็นภาพที่ข้าคัดมาอย่างดี หัวข้อที่วาดก็หลากหลาย มีทั้งภาพบุปผาใบไผ่ ภาพดอกบัวห่านป่า และมีภาพภูติผีเซียนผู้วิเศษ ภาพป่าเขาลำเนาไพร ซึ่งล้วนเป็นแนวถนัดของชุยไป๋ทั้งสิ้น จางเหวยจี๋พอเห็นเข้าก็มีสีหน้ายิ้มแย้ม คล้ายดั่งชื่นชมยิ่ง เมื่อฮองเฮาถามไถ่ความเห็น เขาก็ตอบอย่างระมัดระวัง

“ผลงานของคนผู้นี้แปลกใหม่สร้างสรรค์อย่างยิ่ง”

ฮองเฮานิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพิจารณาอย่างละเอียดอีกรอบ ในที่สุดสายตานางก็ไปหยุดที่ภาพ ‘นกยางคู่อยู่กับกอบัว’ มุมปากขยับยกขึ้นเล็กน้อย กล่าวกับข้า

“ไหวจี๋ เจ้าพูดไว้ไม่ผิด ชุยไป๋เชี่ยวชาญการวาดภาพทิวทัศน์สิ่งของจริงๆ หากถกถึงการเขียนภาพเคลื่อนไหว ในหอภาพมีไม่กี่คนที่เหนือล้ำกว่าเขา”

ข้าแย้มยิ้มก้มศีรษะลง จางเหวยจี๋เห็นฮองเฮาจ้องมองภาพนกยางคู่นั้นเนิ่นนาน ก็ก้าวเข้าไปใกล้เพื่อชมดูอีกรอบ อยากรู้ว่าภาพนี้ยอดเยี่ยมในที่ใด

ฮองเฮาหันกลับมาถามเขา

“ตูจือเห็นว่าภาพนี้เป็นอย่างไร”

ภาพนั้นเป็นภาพนกยางคู่หนึ่งกำลังเล่นน้ำในสระบัว นกยางตัวหนึ่งโผจากด้านขวาไปซ้าย ทำท่าจะจับกุ้งแดงตัวหนึ่งตรงหน้า นกยางอีกตัวโฉบลงมาจากด้านบน หดลำคอยาวๆ เข้าหากัน ยืดสองขาเหยียดตรงไปด้านหลัง

จางเหวยจี๋เพ่งพิศพิจารณา จากนั้นกล่าว

“นกยางขาวในภาพดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก ขนนกหนาหนุ่ม คล้ายจะเอื้อมจับสัมผัสได้... นับว่าเป็นผลงานชั้นเลิศที่หายากจริงๆ”

“ไม่เพียงเท่านั้นดอก” ฮองเฮามองส่วนคอของนกยางตัวบน กล่าว “ยามนกยางโผบิน จะต้องหดคอของมัน ทำให้ลำคอส่วนล่างกลายเป็นเหมือนถุงผ้า ก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นภาพนกยางของคนอื่นๆ มา มักวาดภาพนกยางยามโผบินผิดเพี้ยนไป ศีรษะลำคอและสองขาแยกย้ายยืดตรงไปทั้งหน้าและหลัง แต่ตอนนี้ชุยไป๋วาดได้ไม่ผิดพลาด เท่านี้ก็ทราบว่าเขาวาดภาพทิวทัศน์อย่างเอาใจใส่”

ข้ากับจางเหวยจี๋ฟังแล้วหันไปมองภาพอีกรอบ เห็นนกยางตัวที่บินอยู่หดคอเข้าไป กลายเป็นทรงถุงผ้าจริงๆ ก็อดมิได้ต้องรู้สึกนับถือ

จางเหวยจี๋ส่งเสียงชื่นชมออกมาทันที

“เหนียงเหนียงทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก ชุยไป๋สามารถได้รับคำชมจากเหนียงเหนียง นับเป็นบุญวาสนาของเขา!”

ฮองเฮากลับสั่นศีรษะ ทอดถอนใจกล่าว

“แต่ด้วยความคิด ด้วยนิสัยของเขา ให้เขารั้งอยู่ที่หอภาพต่อไปกลับจะเป็นการผูกมัดพันธนาการเขา... มีบ้างบางคน เกิดมาก็ไม่ควรก้าวเข้าวังหลวงเลย”

“เก็บภาพไว้ให้ดี ต่อให้ให้รักษาไว้ในหอลับ” นางหันมาสั่งข้า “สำหรับชุยไป๋ ข้าจะให้ขุนนางผู้ดูแลหอภาพเดินเรื่อง อนุญาตให้เขาจากไปได้”

คำชื่นชมที่นางมีต่อชุยไป๋ ทำให้ข้าเข้าใจว่านางจะรั้งเขาไว้ แต่อยู่ๆ นางพลันสรุปไปทางตรงกันข้าม ทำให้ข้าประหลาดใจอยู่บ้าง แต่มิอาจไม่ยอมรับ นี่นับเป็นคำตัดสินที่จะทำให้ขุนนางหอภาพและตัวชุยไป๋เองสบายใจทั้งสองฝ่าย ข้านับถือนางยิ่งนัก

เหล่าขันทีม้วนภาพเก็บจนเรียบร้อย ตระเตรียมมอบให้ข้าถือกลับไป ระหว่างที่ข้ายืนสำรวมรออยู่นั้นเอง พลันได้ยินเสียงเอะอะดังแว่วมา สตรีนางหนึ่งร่ำไห้รำพันอยู่ด้านนอก

“ฮองเฮา พวกเรามารดากับบุตรีถูกผู้คนทำร้าย ท่านไม่ต้องการตัดสินลงโทษคนผิดนั่นก็แล้วกันไป แต่เหตุใดแม้แต่ฝ่าบาทก็ไม่ยอมให้หม่อมฉันเข้าพบ”

จางเหวยจี๋ขมวดคิ้ว ขยับจะก้าวออกไปดู แต่ถูกฮองเฮาขวางไว้ ออกคำสั่งต่อเหล่าบริวาร

“ให้นางเข้ามา”

และอย่างรวดเร็วยิ่ง สตรีที่ผมเผ้ายุ่งสยายราวกลุ่มเมฆก็พรวดพราเข้มาในตำหนัก คุกเข่าลงตรงหน้าฮองเฮา อุ้มทารกในอ้อมอกยกให้ฮองเฮาชมดู หลั่งน้ำตากล่าว

“โย่วอู้ล้มป่วยจนเป็นสารรูปนี้แล้ว ฮองเฮายังไม่ยินยอมให้ฝ่าบาทมาเยี่ยมอีกหรือ”

คาดว่าคงเพราะกังวลอาการป่วยของทารก สตรีนางนี้จึงร่ำไห้จนสองตาบวมแดง ใบหน้ามีเค้าซูบซีดอิดโรย แต่ยังคงมองเห็นเค้าความงามพิลาศล้ำของนาง หากบรรจงแต่งหน้าแต่งกายให้เรียบร้อย จะต้องสะคราญเฉิดโฉม ที่นางอุ้มอยู่คือทารกหญิงวัยสามสี่ขวบผู้หนึ่ง สองตาปิดสนิทลมหายใจถ่วงหนัก ใบหน้าน้อยๆ แดงก่ำด้วยโรคภัย คล้ายดั่งมีไข้สูงไม่ยอมทุเลา

ฮองเฮาส่งเสียงนุ่มนวล

“ข้าสั่งให้หมอหลวงตรวจอาการของโย่วอู้อย่างละเอียดแล้ว จางเหม่ยเหริน (หมายเหตุ: เหม่ยเหรินเป็นลำดับขั้นของนางสนม ถูกยกเลิกไปในสมัยราชวงศ์หยวน) ไม่ควรพานางออกมา หากต้องไอเย็นกลับจะย่ำแย่แล้ว หลายวันนี้ฝ่าบาททรงพักผ่อนรักษาพระองค์ มีราชโองการอยู่ก่อนแล้วว่าไม่พบสนมนางใน”

จางเหม่ยเหรินกลับส่ายหน้า

“ฮองเฮาก็มิใช่ไม่ทราบ อาการป่วยของทารกนี้เกิดเพราะถูกคนสาปแช่ง หมอหลวงรักษาอย่างไรก็รักษาไม่ตรงกับมูลเหตุของโรค หากจะให้โย่วอู้หายขาด จะต้องลงโทษคนต่ำช้าที่ทำร้ายนาง หม่อมฉันทราบว่าฮองเฮาไม่แยแสเรื่องราวเล็กน้อยนี้ จึงไม่กล้ารบกวน แต่เหตุใดหม่อมฉันเพียงวิงวอนขอพบหน้าฝ่าบาทครั้งเดียว ฮองเฮายังไม่ทรงอนุญาตอีก”

ข้าเคยได้ยินคนเล่ามา ว่าทุกวันนี้พระสนมที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดคือเหม่ยเหรินสกุลจาง คาดว่าคงเป็นท่านที่อยู่ตรงหน้าแน่นอน ได้ยินวาจานางอุกอาจ คุกคามบีบคั้นผู้คน ก็นับเป็นสารรูปของผู้ที่ทะนงตนว่าเป็นตัวโปรดจริงๆ แต่ฮองเฮากลับไม่มีโทสะ ตอบไปเสียงราบเรียบ

“เหม่ยเหรินคิดมากเกินไปแล้ว วันนี้อากาศวิปริตแปรปรวน โย่วอู้เพียงเจ็บป่วยได้ไข้ รับประทานยาเล็กน้อยก็หายแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่นเลย”

“ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น?” จางเหม่ยเหรินแค่นหัวเราะ สะบัดมือโยนของสิ่งหนึ่งลงบนพื้น “ของนี้ถูกเก็บได้จากอุทยานตั้งแต่เมื่อวาน หม่อมฉันสั่งให้คนมากราบทูลต่อฮองเฮาแล้ว แต่ฮองเฮายังบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น?”

ตุ๊กตาตัวเล็กๆ ทำจากผ้า บนลำตัวมีตัวอักษรเขียนไว้ เข็มวาววับหลายเล่มปักลึกลงไปบริเวณทรวงอกของมัน

วังหลวงแห่งนี้ห้ามเด็ดขาดมิให้เล่นคุณไสย พอเห็นจางเหม่ยเหรินพลันโยนตุ๊กตาออกมา เหล่าขันทีนางกำนัลในตำหนักล้วนมีสีหน้าแตกตื่นลนลาน

ฮองเฮาปรายตามองตุ๊กตา ไม่กล่าวกระไร สีหน้าท่าทางยังคงเป็นปกติ ได้ยินจางเหม่ยเหรินกล่าวอีก

“คืนวันก่อน นางกำนัลแซ่เฝิงเห็นกับตาว่าฮุยโหรวบนบานสานกล่าวต่อหน้าดวงจันทร์อยู่ริมน้ำในอุทยาน และบังเอิญเหลือเกิน เมื่อวานก็มีคนเก็บของนี้ได้จากใต้หินใหญ่ริมสระ นางกำนัลแซ่เฝิงกราบทูลต่อฮองเฮาแล้ว เหตุใดฮองเฮาไม่สนใจ เมื่อครู่ข้าไปสอบถามฮุยโหรวด้วยตัวเอง นางก็ยอมรับว่าเมื่อคืนก่อนไปที่อุทยานจริงๆ!”

ฮุยโหรว?

ชื่อนี้ทำให้ข้าแตกตื่นไม่น้อยกว่าตุ๊กตาปักเข็มตัวนั้นเลย ข้าทบทวนคำพูดของจางเหม่ยเหริน และเข้าใจทุกอย่างทันที นางกำลังบอกว่าฮุยโหรว... เด็กหญิงที่อธิษฐานวิงวอนต่อดวงจันทร์ผู้นั้น... เล่นคุณไสยที่อุทยานเมื่อคืนก่อน เพื่อสาปแช่งบุตรีของนางโย่วอู้

ข้าลังเล ไม่ทราบด้วยฐานะต่ำต้อยของข้า สมควรเสนอหน้าสอดคำระหว่างที่สตรีผู้สูงศักดิ์ทั้งสองกล่าววาจา บอกเล่าเหตุการณ์ที่ข้าพบเห็นออกไปหรือไม่

ฮองเฮานิ่งไป ไม่แสดงท่าทีอย่างไร เหล่าขันทีนางกำนัลก็พลอยระบายลมหายใจแผ่วเบาตาม มีเพียงสุ้มเสียงขุ่นแค้นรันทด เรียกร้องให้ลงโทษฮุยโหรวสถานหนักของจางเหม่ยเหรินดังก้องไปทั้งตำหนัก

“พยานหลักฐานพร้อมมูล เหตุใดฮองเฮายังไม่มีพระเสาวนีย์ลงโทษรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎวัง”

ในที่สุด ความกังวลที่ฮุยโหรวจะมีภัยก็ชนะความกังวลเรื่องฐานะตัวเองของข้า เงาร่างแบบบางของเด็กหญิงน้อยนั้น กับคำอธิษฐานด้วยน้ำตาของนางมอบความกล้าอย่างประหลาดให้ข้า ข้าก้าวออกจากแถวมาเล็กน้อย ค้อมกายต่อฮองเฮา

“เหนียงเหนียง กระหม่อมมีเรื่องหนึ่ง ใคร่วิงวอนขอให้จางเหนียงจื่อ (หมายเหตุ: เหนียงจื่อเป็นคำใช้เรียกสตรีสูงศักดิ์เชิงยกย่อง) ยืนยัน”

การสอดปากขึ้นกะทันหันของข้าทำให้ฮองเฮาและคนอื่นๆ ในตำหนักประหลาดใจ แต่ฮองเฮายังคงพยักหน้า อนุญาตให้ข้าพูด

ข้าหันไปหาจางเหม่ยเหริน คารวะนางแล้วก้มศีรษะถาม

“ขอบังอาจเรียนถามจางเหนียงจื่อ แม่นางที่ท่านพูดถึงชื่อฮุยโหรวหรือ”

จางเหม่ยเหรินยังไม่ทันตอบ จางเหวยจี๋ก็ตวาดตำหนิทันที

“บังอาจ...”

ฮองเฮาโบกมือปรามเขา แต่ส่งสัญญาณให้ข้าพูดต่อไปด้วยสีหน้าอ่อนโยนปรานี

จางเหม่ยเหรินมองข้าอย่างเย็นชา รอยยิ้มประหลาดพิกลที่ประดับบนริมฝีปากคล้ายดั่งมีเลศนัยแฝงอยู่

“ไม่ผิด นางเด็กน้อยนั้นชื่อฮุยโหรว”

ข้าถามนางต่อไป

“นางกำนัลแซ่เฝิงเห็นนางอธิษฐานต่อดวงจันทร์ริมสระน้ำในอุทยาน ตอนนั้นเป็นยามจื่อ (หมายเหตุ: ช่วงห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง) ของคืนก่อนใช่หรือไม่”

จางเหม่ยเหรินครุ่นคิด ก่อนตอบว่าใช่

ข้าหันกลับไป กล่าวต่อฮองเฮา

“คืนก่อนกระหม่อมนำภาพวาดมาส่งที่ตำหนักโหรวอี๋ ตอนออกไปก็เป็นเวลาดึกสงัดแล้ว เนื่องเพราะไม่คุ้นเคยกับเส้นทางในวังหลัง จึงหลงไปถึงอุทยาน บังเอิญพบเห็นเด็กหญิงผู้หนึ่งสวมอาภรณ์ขาวเปลือยเท้าอธิษฐานวิงวอนต่อดวงจันทร์ นางเรียกตัวเองว่าฮุยโหรว... ก่อนหน้านั้นกระหม่อมได้ยินเสียงเคาะบอกโมงยามอยู่รำไร น่าจะเป็นยามจื่อ”

“อ้อ?” ฮองเฮาถาม “ตอนนางอธิษฐานได้กล่าวกระไรบ้าง”

ข้าเล่าออกไปตามความจริง

“นางบอกว่าบิดาของนางล้มป่วย จึงพร่ำวิงวอนต่อสวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่า ยินยอมเอาตัวเองไปแทนที่บิดา”

ฮองเฮาแย้มยิ้มเล็กน้อย

“ไม่ได้สาปแช่งผู้อื่นกระมัง”

ข้าสั่นศีรษะ ตอบอย่างหนักแน่นมั่นคง

“ไม่มีกระหม่อม เนื่องเพราะถูกคนพบเห็น หลังจากฮุยโหรวอธิษฐานจบก็ออกจากอุทยานไปทันที กระหม่อมไม่ได้ยินนางสาปแช่งผู้ใด” ข้าหันไปมองตุ๊กตาที่จางเหม่ยเหรินโยนลงบนพื้น เสริมว่า “และไม่เห็นนางนำของนี้มาด้วย คนที่วางมันไว้ใต้ก้อนหินในอุทยานไม่น่าใช่นาง”

“เหลวไหลทั้งเพ!” โทสะที่เพิ่งสงบลงเล็กน้อยของจางเหม่ยเหรินถูกวาจาของข้ากระตุ้นให้พลุ่งพล่านขึ้นมาอีก “มิใช่นางจะเป็นผู้ใด ยังจะมีผู้ใดกลัวจะถูกโย่วอู้แย่งความรักจากฝ่าบาทไปเหมือนนางอีก”

สมองของข้าถูกคำถามของนางก่อกวนจนปั่นป่วนวุ่นวายไปทันที ตอนนี้จึงเพิ่งรู้สึกตัว ว่าฐานะของฮุยโหรวคงไม่ธรรมดาอย่างที่ข้าเคยนึก

“เจ้าถูกคนบงการมาแน่นอน จึงกล้าหลอกลวงเบื้องสูง เป็นพยานเท็จ!” จางเหม่ยเหรินก้าวเข้าหาข้าอย่างคุกคาม เงื้อมือขึ้น นิ้วเรียวยาวทำท่าจะฟาดลงบนใบหน้าข้า แต่แล้วก็แค่นหัวเราะ กวาดตามองไปทางฮองเฮาคล้ายตั้งใจคล้ายไม่มีเจตนา “บอกมา คนที่บงการเจ้าคือใคร ฮุยโหรว? หรือยังมีคนอื่นอีก?”

ท่าทางหุนหันพลุ่งพล่านของนางทำให้ข้าเริ่มเข้าใจสถานการณ์ ก็ถอยไปสองก้าว แต่ยังคงเอ่ยอย่างหนักแน่น

“กระหม่อมมิกล้ากล่าวเหลวไหล ทุกประโยคล้วนเป็นความจริง”

ฝ่ามือหนึ่งตบฉาดเข้าใส่ใบหน้าข้าราวสายฟ้า เสียงที่ดังขึ้นในพริบตานั้นกรีดแหลมเหมือนเสียงนางไม่มีผิด นางรั้งมือกลับไป โอบกอดบุตรีตัวเองแนบแน่น เชิดคางสูงอย่างหยิ่งทะนงใส่หน้าข้า แย้มยิ้มเย้ยหยัน

“ตอนนี้เล่า ทุกประโยคยังเป็นความจริงอยู่หรือไม่”

ข้าก้มศีรษะลง ตลอดชีวิตหลายปีในวังของข้า การเหยียดหยามหมิ่นแคลนลักษณะนี้ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่การขจัดความอับอายขุ่นเคืองให้เลือนหายไร้ร่องรอย กลับเป็นส่วนหนึ่งในบทเรียนของพวกเรา ถึงข้าจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่สุดเรื่องกล้ำกลืนความอัปยศ ไม่อาจทำได้ถึงขั้นนายเหนือตบแก้มซ้าย ก็ยิ้มระรื่นยื่นแก้มขวาให้ แต่อย่างน้อยสามารถรักษาสีหน้าให้ราบเรียบ รักษาท่าทีให้สงบนิ่งอยู่ได้

“พอแล้ว” ฮองเฮาออกปกา “ลงมือกับขันที ไม่สมเกียรติตัวเองเลย”

จางเหม่ยเหรินบิดมุมปาก ท่าทางเหยียดหยัน

ฮองเฮาหันมามองข้าแวบหนึ่ง ก่อนหันไปบอกจางเหม่ยเหริน

“เขาคือขันทีฝ่ายหน้าเหลียงไหวจี๋ ไม่กี่วันก่อนเพิ่งเคยเข้าวังเป็นครั้งแรก แม้แต่ฮุยโหรวคือชื่อเล่นสมัยเยาว์วัยขององค์หญิงฝูคังเขายังไม่รู้ จะไปรับการบงการจากผู้อื่นได้อย่างไร”

องค์หญิงฝูคัง ธิดาองค์โตของฝ่าบาท สตรีผู้มีศักดิ์สูงสุดรองจากฮองเฮาผู้เป็นประมุขฝ่ายใน

ข้อสงสัยมลายหายไปเพราะคำพูดนี้เอง แต่หัวใจข้ากลับเวิ้งว้างว่างเปล่า วาจาฮองเฮาเหมือนสายลม พัดเงาร่างสีขาวของเด็กหญิงเข้ามาในความทรงจำข้า ให้นางลอยล่องฟ้าอยู่เหนือชั้นเมฆ

เมื่อได้สติคืนมา ข้าก็ฟุบกราบกับพื้น ขอประทานอภัยจากฮองเฮาที่ข้าพูดจาอุกอาจล่วงเกิน

จางเหม่ยเหรินที่ยืนอยู่ด้านข้างยังคงแย้มยิ้มเยียบเย็น ส่งเสียงลอดไรฟัน

“ละครที่เล่นได้ยอดเยี่ยมนัก!”

ฮองเฮาบอกว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด สั่งให้ข้าลุกขึ้น จากนั้นสั่งจางเหวยจี๋

“ไปเชิญองค์หญิงฝูคังมาที่นี่”

 

ไม่นาน เสียงหยกประดับกระทบกันก็ดังขึ้น สตรีที่เติบใหญ่เต็มที่สองนางซอยเท้าเข้ามาในตำหนัก พวกนางล้วนเกล้าผมเป็นมวยสูง สวมเสื้อชั้นนอกผ่าหน้าแขนเสื้อแคบเล็ก ตัดเย็บจากวัสดุเนื้อดี นางหนึ่งเป็นผ้าย่นเนื้อโปร่งสีเขียวของเมืองเฉียวจวิ้น อีกนางสวมฝ้าโปร่งลายดอกโบตั๋นสีแดงจางๆ ของเมืองเซียงโจว ต่างจากนางกำนัลทั่วไป คงเป็นหนึ่งในบรรดาพระสนมนางในมากกว่า

พวกนางถวายคำนับฮองเฮาอย่างเร่งร้อน ปฏิเสธแทนองค์หญิงฝูคังเป็นเสียงเดียว ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นผลงานขององค์หญิง นางในที่สวมอาภรณ์โปร่งบางสีเขียวยิ่งร้อนรนห่วงใย หลังจากถวายคำนับก็คุกเข่าไม่ยอมลุกขึ้นมา ปฏิเสธทั้งน้ำตา

“ฮุยโหรวอายุน้อยนัก ไหนเลยรู้จักวิชาไสยศาสตร์เหล่านี้ได้! อย่าว่าแต่นางยังรักถนอมน้องสาวเยาว์วัยเสมอมา ไม่มีทางกระทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้เด็ดขาด ขอฮองเฮาทรงพิจารณา คืนความบริสุทธิ์ให้นาง”

ฮองเฮาสั่งให้นางกำนัลพยุงสตรีนางนั้นขึ้นมา ปลอบโยนเสียงนุ่มนวล

“ในเมื่อเหมียวเจาหรง (หมายเหตุ: เจาหรงเป็นตำแหน่งพระสนมเอก สูงศักดิ์กว่าเหม่ยเหรินสองขั้น) เชื่อถือฮุยโหรว อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกังวล” จากนั้นก็ส่งสายตาให้คนสนิทซ้ายขวา “ประทานเก้าอี้ให้จางเหม่ยเหริน เหมียวเจาหรง และหยูเจี๋ยอวี๋(หมายเหตุ: เจี๋ยอวี๋เป็นตำแหน่งพระสนม ต่ำศักดิ์กว่าเจาหรงขั้นหนึ่ง แต่ยังสูงว่าเหม่ยเหริน)”

พระสนมสองท่านหลังนี้นับเป็นสนมรักของฝ่าบาท ล้วนเคยให้กำเนิดโอรสธิดา ดังนั้นข้าจึงเคยได้ยินชื่อเสียงพวกนาง เหมียวเจาหรงเป็นธิดาของแม่นมฝ่าบาท เป็นมารดาแท้ๆ ขององค์หญิงฝูคัง สนิทสนมกับหยูเจี๋ยอวี๋ยิ่งนัก แต่น่าเสียดาย โอรสที่หยูเจี๋ยอวี๋และเหมียวเจาหรงให้กำเนิดล้วนทยอยตายจากตั้งแต่เยาว์วัย ฝ่าบาทจึงไม่มีทายาทเลย แม้แต่เหล่าองค์หญิงก็ล้มหายตายจากคนแล้วคนเล่า ตอนนี้ฝ่าบาทจึงมีธิดาเพียงสองนาง คือธิดาคนโตองค์หญิงฝูคัง และธิดาคนที่แปดซึ่งกำเนิดจากจางเหม่ยเหริน ราชทินนามว่าเป่าฉือฉงโย่วต้าซือ โย่วอู้

สีหน้าเป็นกังวลของเหมียวเจาหรงผ่อนคลายลงเล็กน้อย นางกับหยูเจี๋ยอวี๋พากันนั่งลงตามลำดับ ส่วนจางเหม่ยเหรินนั้นต้องมีนางกำนัลเกลี้ยกล่อมจึงยอมฝืนใจนั่ง แต่ยังมีสีหน้าไม่พอใจ ปรายตามองเหมียวเจาหรงพลางแค่นยิ้มเย็นชา

จังหวะนั้นขันทีผู้หนึ่งก็เข้ามารายงานว่าองค์หญิงฝูคังมาถึง องค์หญิงก้าวช้าๆ เข้ามา ดวงตาทั้งคู่แดงเรื่อ มีร่อยรอยคราบน้ำตา แต่เสื้อผ้าอาภรณ์สะอาดเรียบร้อย ผมเปียที่ทิ้งตัวลงมาหวีเรียบไม่มียุ่งเหยิงสักเส้นเดียว นางเดินเข้ามาท่ามกลางสายตาทุกผู้คนที่จับจ้อง สองตาหรุบต่ำ แต่ศีรษะกลับไม่ก้มต่ำลงเลย โดยเฉพาะเมื่อก้าวผ่านหน้าจางเหม่ยเหริน ใบหน้าเล็กๆ ของนางถึงกับเชิดขึ้นด้วยซ้ำ กรามล่างและลำคอวาดเป็นมุมเงย ดวงตาไม่แลมอง สีหน้าเรียบเฉยเย็นชา

กระทั่งก้าวมาถึงหน้าฮองเฮา องค์หญิงจึงยกมือขึ้นเสมอคิ้วอย่างนอบน้อม ถวายคำนับฮองเฮาเต็มพิธีการ จากนั้นค่อยหันไปย่อกายถวายพระพรต่อมารดาและหยูเจี๋ยอวี๋ ก่อนจะประสานมือยืนสำรวมอยู่ ไม่แสดงท่าทีใดๆ ต่อจางเหม่ยเหริน มองเมินฝ่ายนั้นไปโดยสิ้นเชิง

ฮองเฮาแย้มยิ้มเล็กน้อยกล่าวกับนาง

“ฮุยโหรว น้อมพบจางเหม่ยเหริน”

องค์หญิงเรียกนางแผ่วเบาคำหนึ่ง แต่ไม่กระดิกตัว ไม่มีทีท่าจะคารวะ จางเหม่ยเหรินตวัดสายตามอง ส่งเสียงเย็นชา

“พอเถอะ นี่ก็มิใช่ครั้งแรก... คนฐานะต่ำต้อยเช่นข้าก็รับการคารวะจากองค์หญิงไม่ไหว”

องค์หญิงฟังวาจาจางเหม่ยเหรินแล้วก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ฮองเฮาจึงออกปากถาม

“ฮุยโหรว คืนวันก่อนเจ้าไปที่อุทยานมาหรือ”

นางผงกศีรษะยอมรับ

“เคยไปมา”

“ไปทำอะไร”

องค์หญิงลังเล ไม่ได้ตอบทันที ฮองเฮาถามซ้ำ นางก็เงียบงันไปขั่วครู่ ก่อนจะกล่าววาจา แต่ก็แผ่วเบาอย่างยิ่ง

“ท่านพ่อ... ดีขึ้นบ้างหรือไม่”

ฮองเฮาหันไปหาจางเหวยจี๋ สายตามีแววอ่อนโยนปรานี จางเหวยจี๋แย้มยิ้มค้อมกายลง คาดว่าคงเพราะวาจาขององค์หญิงตรงกับคำกล่าวของข้า สามารถยืนยันได้ว่านางบริสุทธิ์

ดังนั้นเอง ฮองเฮาจึงส่งเสียงนุ่มนวลถามนางอีก

“เจ้าไปวิงวอนขอพรจากดวงจันทร์ในอุทยาน อธิษฐานให้ท่านพ่อกระมัง”

องค์หญิงประหลาดใจยิ่ง หลุดปากถาม

“ท่านแม่ทราบได้อย่างไร”

ราชโอรสราชธิดาในราชวงศ์เราล้วนเรียกพระราชบิดาว่า ‘ท่านพ่อ’ เหมือนเช่นผู้คนสามัญ เรียกฮองเฮามารดาเอกว่า ‘ท่านแม่’ ส่วนมารดาผู้ให้กำเนิดที่มีศักดิ์เป็นพระสนมนั้นเรียกว่า ‘พี่หญิง’

นอกจากจางเหม่ยเหรินแล้ว คนในตำหนักที่เพิ่งได้ยินเรื่องราวจากข้าล้วนมีสีหน้ายิ้มแย้ม จางเหวยจี๋จึงอธิบายเหตุการณ์ก่อนหน้าให้ฟัง เหมียวเจาหรงฟังจบก็หันมามองข้า สายตามีแววซาบซึ้งตื้นตัน หยูเจี๋ยอวี๋ระบายลมหายใจจากปาก หันไปสบตาแย้มยิ้มกับเหมียวเจาหรง

จางเหม่ยเหรินทนไม่ไหว ผุดลุกขึ้นอีกครั้ง ชี้ตุ๊กตาบนพื้นถามองค์หญิงเสียงเกรี้ยวกราด

“อย่างนั้นตุ๊กตาปักเข็มนี้จะว่าอย่างไร เหตุใดมาอยู่ในอุทยานหลังจากที่เจ้าไปมาพอดีได้”

องค์หญิงขมวดคิ้ว เบือนหน้าไปเล็กน้อย ไม่แยแสสนใจเลย

แต่จางเหม่ยเหรินไม่ยอมอยู่นิ่ง เดินไปเก็บตุ๊กตา ยื่นไปตรงหน้าองค์หญิง

“เคยได้ยินว่าองค์หญิงกล้าทำกล้ารับ เหตุใดตอนนี้กลับไม่คัดค้านสักคำ”

ริมฝีปากองค์หญิงปิดสนิท ยึดถืออีกฝ่ายเป็นเช่นอากาศธาตุ จางเหม่ยเหรินก็ไล่ขยี้ซักถามไม่หยุดยั้ง ฮองเฮาเห็นแล้วเกลี้ยกล่อมองค์หญิงว่า

“หากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าก็อธิบายต่อจางเหม่ยเหรินเถอะ”

องค์หญิงขบริมฝีปากหรุบตาลง เนิ่นนานจึงหลุดมาห้าคำ

“ข้าไม่มีทางทำ”

“ไม่มีทางทำ?” น้ำเสียงฮองเฮาอ่อนโยนปรานียิ่งนัก พยายามชักนำให้นางอธิบายต่อไป “ไม่มีทางทำอะไร”

ครั้งนี้องค์หญิงกลับไม่ยอมกล่าวอะไรอีกเลย เหมียวเจาหรงเห็นแล้วร้อนใจ ส่งเสียงมาจากด้านข้าง กล่อมให้นางตอบคำถามตลอดเวลา แต่องค์หญิงยังคงไม่เอ่ยวาจาสักคำเดียว

ฮองเฮาเงียบไป จางเหม่ยเหรินสีหน้าบูดบึ้งขุ่นเคือง เหมียวเจาหรงกล่อมอยู่ครู่หนึ่ง เห็นคนในตำหนักล้วนไม่ส่งเสียง ยิ่งขับให้เสียงเกลี้ยกล่อมของนางชัดเจนเป็นกังวานกว่าเดิม ก็รีบชะงักคำพูดไว้ ในตำหนักจึงกลับสู่ความเงียบจนอึดอัดยากทนทาน

สุดท้ายผู้ที่ทำลายความเงียบนั้น ก็คือข้าเอง

“เหนียงเหนียง องค์หญิงได้ตอบมาแล้ว”

อันที่จริงตอนที่เสียงนี้ดังขึ้น ข้าเองก็ตกใจเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ขันทีเล็กๆ ที่ต่ำต้อยไม่คู่ควรให้พูดถึง กลับสอดปากกลางคดีของวังหลังถึงสองครั้งสองครา ไปมีกำลังขวัญมาจากที่ใดกัน

แต่ในเมื่อเอ่ยปากไปแล้ว ข้าก็ได้แต่กัดฟันพูดต่อไป

“ในอดีตจ้าวเฟยเยี่ยน (หมายเหตุ: ฮองเฮาของฮั่นเฉิงตี้ ว่ากันว่ามีรูปโฉมอ้อนแอ้นงดงาม ทำให้ฮั่นเฉิงตี้ลุ่มหลงจนละเลยบ้านเมือง ดังนั้นจ้าวเฟยเยี่ยนจึงมักถูกเปรียบเป็นโฉมสะคราญที่เป็นต้นตอของเภทภัย) เคยกล่าวหาปันเจี๋ยอวี๋ว่าใช้คุณไสยทำพิธีสาปแช่ง ฮั่นเฉิงตี้ไปสอบถามเจี๋ยอวี๋ เจี๋ยอวี๋ก็ตอบว่า ‘หม่อมฉันเชื่อว่าเป็นตายมีชะตาลิขิต ความรุ่งเรืองในชีวิตขึ้นอยู่กับฟ้า เมื่อนำพาแต่ความดีไม่หวังผล จะกังวลมุ่งหวังอะไรจากอวิชชา หากเทพยดาผีร้ายหยั่งรู้ ย่อมไม่ต้อนรับขับสู้คำอธิษฐานนี้ หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีญาณวิถี วอนขอไปจะมีประโยชน์ใด ข้าไม่กระทำ’ กระหม่อมขอบังอาจคาดเดา คำ ‘ข้าไม่มีทางทำ’ ขององค์หญิงเมื่อครู่ ก็มีความหมายเช่นเดียวกับ ‘ข้าไม่กระทำ’ ของปันเจี๋ยอวี๋”

ข้าพูดจบ ก็รู้สึกว่าองค์หญิงหันมาจ้องหน้าข้า ข้ากับนางสบตากันเพียงเสี้ยวกระพริบตา ประกายตานางสุกสกาว มีรอยยิ้มเคลือบทับจางๆ อยู่อีกชั้น สองแก้มข้าร้อนผ่าวขึ้นทันที ก็ก้มศีรษะต่ำลง

คนทั้งหลายเงียบงันไปชั่วครู่ แต่แค่ครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงหยูเจี๋ยอวี๋หัวเราะชื่นชม

“ขันทีน้อยเปรื่องปราดหลักแหลมนัก พูดจามีเหตุผลอย่างยิ่ง ต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน”

ฮองเฮาก็ผงกศีรษะแย้มยิ้ม เหมียวเจาหรงกับจางเหวยจี๋เองก็มองข้าด้วยสีหน้าพออกพอใจ มีเพียงจางเหม่ยเหรินผู้เดียวที่ยิ่งขุ่นแค้น หันมาจ้องข้าตรงๆ กล่าว

“เจ้าเอาข้าไปเปรียบกับจ้าวเฟยเยี่ยน?”

ข้าชะงัก ตอนแรกข้าเพียงต้องการอธิบายแทนองค์หญิงฝูคังเท่านั้น จึงนำเรื่องปันเจี๋ยอวี๋ขึ้นมาพูด ไม่ได้มีเจตนาจะเปรียบจางเหม่ยเหรินกับจ้าวเฟยเยี่ยนเลย แต่ตอนนี้ดูท่าคงแก้ตัวลำบากแล้ว

โชคดีที่ตอนนั้นขันทีจากเบื้องนอกเข้ามาส่งข่าวพอดี ช่วยข้าเอาไว้ได้

“ฝ่าบาททรงได้สติแล้ว ต้องการพบองค์หญิงฝูคัง!”

คนในตำหนักพากันลุกขึ้น ฮองเฮาจูงมือองค์หญิงฝูคังไว้ กล่าว

“ไปกันเถอะ ไปพบท่านพ่อของเจ้า”

ทั้งสองออกจากตำหนักไปทันที เหมียวเจาหรงกับหยูเจี๋ยอวี๋ก็รีบตามติดไปเบื้องหลัง จางเหม่ยเหรินงุนงงวูบ ก่อนรีบอุ้มธิดาไล่ตามไปด้วย

คนอื่นๆ ในตำหนักทยอยแยกย้าย ข้ายืนอยู่ที่เดิมเน่ินนาน เห็นไม่มีผู้ใดสนใจข้าอีก จึงค่อยเดินออกจากตำหนัก ย้อนกลับหอภาพตามเส้นทางเดิม

Top Hit


Special Deal